หุ้นปิดครึ่งวันเช้าลบ 2 จุด ดัชนีแกว่งผันผวนในกรอบแคบไร้ปัจจัยใหม่หนุน ต่างประเทศเป็นลบ ลุ้นแรงหนุนวินโดว์เดรสซิ่งไตรมาสแรก แนะการอ่อนตัวของดัชนีฯ เป็นจังหวะซื้อเล่นเก็งกำไร ขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองเริ่มไม่น่าไว้วางใจ
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (17 มี.ค.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,370.15 จุด ลดลง 2.03 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.15% มูลค่าการซื้อขาย 11,802.75 ล้านบาท โดยภาพรวมวันนี้ตลาดเคลื่อนไหวผันผวนกรอบแคบในแดนลบตลอดช่วงเช้า โดยมีแรงซื้อเก็งกำไรในหุ้นบางตัว และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ตลาดหุ้นเช้านี้แกว่งผันผวนในแดนลบ เนื่องจากตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ขณะที่ปัจจัยในต่างประเทศล้วนเป็นในเชิงลบ ทั้งปัญหาคาบสมุทรไครเมีย การปรับลดวงเงินคิวอี และเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ส่วนประเด็นยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ตลาดได้รับรู้มานานแล้ว เพราะถึงยังไงก็ต้องถูกยกเลิก
น.ส.ธีรดา ชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบในกรอบแคบ คล้ายกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่มีการเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบเช่นกัน เนื่องจากปัจจัยในประเทศ และต่างประเทศยังไม่มีความชัดเจน โดยตลาดฯ ยังเกาะติดสถานการณ์ยูเครน โดยรอดูปฏิกิริยาของทางชาติตะวันตกว่าจะเป็นอย่างไร หลังจากที่ได้มีการลงประชามติในไครเมียเสียงส่วนใหญ่ต้องการกลับไปอยู่กับรัสเซีย
ด้านปัจจัยในประเทศ นักลงทุนก็กำลังรอปัจจัยจากการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ขณะเดียวกัน ตลาดก็ยังเฝ้าติดตามการเคลื่อนไหวของกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เนื่องจากในวันที่ 19 มี.ค.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดรับหรือไม่รับคำร้องผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาการเลือกตั้ง 2 ก.พ.ว่า จะเป็นโมฆะหรือไม่ ซึ่งเป็นแรงกดดันที่เพิ่มขึ้น ดังนั้น นักลงทุนจึงยังไม่วางใจมากนัก
อย่างไรก็ดี หุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการยกเลิกการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก็แข็งแกร่งกว่าตลาดฯเล็กน้อย อย่างหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว และกลุ่มการบิน แม้ว่าจะยังมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศอยู่ ส่วนแนวโน้มการลงทุนในช่วงบ่ายนี้ คาดว่าตลาดคงจะยังไม่ไปไหนไกล พร้อมให้แนวรับ 1,360 จุด แนวต้าน 1,375-1,380 จุด
ด้านนักวิเคราะห์ บล.เคทีซีมิโก้ มองว่า ตลาดหุ้นเช้าแกว่งตัวผันผวนเนื่องจากกังวลปัญหายูเครน ซึ่งยังต้องจับมาตรการแซงก์ชัน และการใช้กำลังทหารหลังไครเมียร์โหวตผนวกเข้ากับรัสเซียเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ผลประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) กลางสัปดาห์ยังส่งสัญญาณลดขนาดปริมาณผ่อนคลายเชิงปริมาณ (คิวอี) คาดว่าตลาดจะรีบาวนด์กลับได้ในช่วงปลายถึงปลายสัปดาห์ หากยูเครนไม่เกิดการปะทะทางทหาร และการแซงก์ชันเป็นไปอย่างจำกัด
สำหรับปัจจัยในประเทศยังมีการเล่นเก็งกำไรการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ รวมถึงความเชื่อมมั่นว่าตลาดหุ้นไทยอาจเกิดการปิดงวดบัญชีไตรมาสแรก (วินโดว์ เดรสซิ่ง) จึงมองว่าการอ่อนตัวของดัชนีเป็นจังหวะซื้อเล่นเก็งกำไร โดยมองกรอบดัชนีสัปดาห์นี้ 1,355-1,395
หลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับ ได้แก่
TRUE มูลค่าการซื้อขาย 826.49 ล้านบาท ปิดที่ 7.40 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
JAS มูลค่าการซื้อขาย 461.16 ล้านบาท ปิดที่ 8.40 บาท ลดลง 0.05 บาท
BBL มูลค่าการซื้อขาย 438.19 ล้านบาท ปิดที่ 178.00 บาท ราคาไม่เปลี่ยนแปลง
ADVANC มูลค่าการซื้อขาย 392.53 ล้านบาท ปิดที่ 217.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.00 บาท
RML มูลค่าการซื้อขาย 346.65 ล้านบาท ปิดที่ 1.71 บาท เพิ่มขึ้น 0.07 บาท