xs
xsm
sm
md
lg

ตลาดลงทุนหลังดอกเบี้ยลด...บล.โกลเบล็ก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้นอกเรื่องตลาดทองคำหน่อย แต่ก็เกี่ยวข้องกันทางอ้อม หลังจากเมื่อวันพุธที่ผ่านมา คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยเพิ่งมีมติ 4 ต่อ 3 เสียงโดยลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25 เปอร์เซ็นต์ลงมาเหลือ 2.0 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากประเมินว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากปัญหาการเมืองที่ยืดเยื้อประกอบกับตัวเลขขาดดุลบัญชีเดินสะพัดต่อเนื่องและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังอยู่ในระดับต่ำเพียงพอที่จะผ่อนคลายนโยบายทางการเงินได้บ้างในช่วงที่เศรษฐกิจยังต้องการเวลาในการฟื้นตัว

ถึงแม้การโหวตอาจจะมีมติไม่เป็นเอกฉันฑ์แต่เชื่อว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนั้นเป็นเครื่องมือแทบจะชิ้นท้ายๆที่ทาง กนง.อยากจะเลือกใช้ เพราะฉะนั้นคณะกรรมการน่าจะเห็นหรือทราบตัวเลขอะไรบางอย่างที่ส่งสัญญาณว่าหากไม่เลือกใช้วิธีนี้ ถ้าดูตั้งแต่ไตรมาส4 ปีที่ผ่านมา ความเชื่อมั่นของนักลงทุนและการใช้จ่ายจากภาคเอกชนมีการหดตัว การท่องเที่ยวได้รับผลกระทบค่อนข้างมากจากปัญหาการเมืองและการประกาศใช้ พ.ร.ก. ฉุกเฉิน ซึ่งหากปัญหาจบได้เร็วก็จะไม่ส่งผลลบมากนัก แต่เวลาผ่านไปจนใกล้จบไตรมาส1ของปี 2557 แล้ว ปัญหาดังกล่าวดูยังไม่มีวี่แววที่จะจบลงแบบชัดเจน การกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้จ่ายของภาครัฐโดยนโยบายการคลังดูเหมือนต้องชะงัก โครงการที่ต้องลงทุนในสาธารณูปโภคหลายอย่างก็ยังต้องเลื่อนออกไปเนื่องจากรัฐบาลยังเป็นชุดรักษาการทำให้การเบิกจ่ายภาครัฐต้องเลื่อนออกไปอีกสักระยะใหญ่ๆ ทำให้ต้องเลือกใช้นโยบายทางการเงินหรือการลดอัตราดอกเบี้ยมากระตุ้นแทน

การลดดอกเบี้ยก็จะส่งผลให้คนถือเงินฝากเงินน้อยลงเพราะผลตอบแทนต่ำลง ประกอบกับสามารถทำการกู้เงินที่มีต้นทุนต่ำลงเพื่อให้มีการจับจ่ายใช้สอยที่มากขึ้น เป็นการเล่นกับสมการ GDP = C+G+I+(X-M) คือ พอ G หรือการใช้จ่ายภาครัฐในโครงการต่างๆหยุดชะงัก การจะทำให้ GDP ยังโตขึ้นได้ก็ต้องไปกระตุ้นตัวอื่นๆแทน วิธีการลดดอกเบี้ยก็จะช่วยให้ตัว C หรือ Consumption มีการจ่ายการบริโภคมากขึ้นแทน

ส่วนตัว I หรือ Invesment ภาคการลงทุนก็จะเกี่ยวข้องกับตัว ส่งออกและนำเข้าด้วย (X กับ M นั่นเอง) ซึ่งภาคการลงทุนเรายังมีเงิน ลงทุนจากต่างประเทศเข้ามาอยู่มากก็จริง แต่เมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านต้องถือว่าเรายังน้อยกว่าเค้าในช่วงนี้ เงินที่เข้ามาลงทุนในภาคอุตสาหกรรม อย่างยานยนต์ถือว่ายังเติบโตได้ดีเรายังผลิตรถและส่งออกได้น่าพอใจ แต่ภาคอุตสาหกรรมอีเล็คโทรนิคส์ที่เราถนัดค่อนข้างน่าเป็นห่วงในระยะยาว เพราะดูเหมือนสินค้าที่เราถนัดในหมวดนี้กำลังจะเป็นสินค้าที่กำลังจะล้าสมัยในอนาคต อย่างเช่นสินค้าพวกฮาร์ดไดร์ฟหรือฮาร์ดดิสก์ แต่พอเป็นสินค้าที่ทันสมัยเทคโนโลยีใหม่ๆ ต่างชาติกับเลือกที่จะลงทุนไปสร้างฐานการผลิตในประเทศเพื่อนบ้านเราแทนด้วยปัจจัยหลายอย่าง ซึ่งเราคงต้องรอรัฐบาลมาปรับปรุงแก้ไขด้านโครงสร้างเพื่อให้เราแข่งขันกับเพื่อนบ้านได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ แต่หากมองจุดแข็งของเราที่เด่นกว่าเพื่อนบ้านก็ยังมีอุตสาหกรรมภาคการบริการเรายังโดดเด่นกว่า แรงงานเรามีฝีมือมากกว่า ก็ยังพอเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่ยังมีอนาคตที่ดีอยู่

หากต้องเลือกลงทุนระหว่างตลาดพันธบัตรกับตลาดหุ้น แน่นอนว่าการลดอัตราดอกเบี้ยทำให้ความน่าสนใจในตลาดพันธบัตรนั้นน้อยลง เพราะต่างชาติที่เคยได้ส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยหรือสเปรดกว้างๆ พอผลตอบแทนน้อยลง เค้าก็ต้องพิจารณาหาทางเลือกอื่นมากขึ้น พอเงินทุนไหลออกก็จะส่งผลต่อค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มจะอ่อนค่ามากขึ้น ก็ยิ่งจะทำให้การขนเงินเข้ามาลงทุนในพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติก็ อาจโดนผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนไปด้วย การลงทุนในตลาดหุ้นดูน่าจะสนใจ มากกว่าด้วยราคาหุ้นไทยเทียบกับเพื่อนบ้านถือว่าเรายังต่ำกว่าแม้จะเจอผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนที่บาทอาจอ่อนค่าบ้าง แต่คาดว่าผลตอบแทนจากตลาดหุ้นยังมากพอที่จะจูงใจนักลงทุนอยู่ เพียงแต่จากปัญหาเศรษฐกิจที่เราเอ่ยถึงก่อนหน้านี้และที่เผชิญอยู่อาจไม่ใช้หุ้นทุกกลุ่มหรือทุกตัวที่น่าสนใจ เราก็ควรเลือกกลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจะแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวม

บริษัทหลายบริษัทในตลาดหุ้นไทยมีพื้นฐานที่แข็งแกร่ง ยิ่งบริษัทที่มีการกระจายความเสี่ยงโดยมีรายได้จากต่างประเทศก็อาจไม่โดนผลกระทบจากเศรษฐกิจไทยปีนี้มากนักหุ้นกลุ่มพลังงานหลายๆตัวที่มีรายได้จากบริษัทลูกในต่างประเทศ ราคาปิโตรฯที่ดีขึ้น หุ้นพลังงานถ่านหินบางตัวที่ราคาเคยปรับลงมากใน 2 ปีที่ผ่านมาก็เริ่มมีแนวโน้มที่พลิกฟื้นในด้านราคาถ่านหิน ทำให้หุ้นกลุ่มนี้น่าสนใจ ต่อมากลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ของไทยก็มีการปล่อยกู้ในโครงการขนาดใหญ่ในต่างประเทศทำให้บางธนาคารก็จะยังน่าสนใจ
อยู่ กลุ่มเดินเรือก็น่าสนใจจากค่าระวางเรือที่เริ่มปรับขึ้นยิ่งหากบริษัทมีการกระจายที่มารายได้จากบริษัทลูกในต่างประเทศจากธุรกิจอื่นๆด้วยยิ่งราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีก็ยิ่งน่าสนใจจนอาจกลายเป็นหุ้นที่ Turnaround ได้เหมือนกัน

ธุรกิจที่ต้องระวังคือธุรกิจกลุ่มค้าปลีกขนาดเล็กที่ต้องพึ่งพาแรงซื้อจากภาคครัวเรือน ส่วนค้าปลีกใหญ่ๆแม้การเติบโตยังจะไม่สูงมาก แต่ถือว่าธุรกิจค้าปลีกขนาดใหญ่จะยังสามารถยืนประคองตัวอยู่ได้ในสภาพเศรษฐกิจแบบนี้เพียงแต่รอแรงซื้อกลับมาเท่านั้น เมื่อไหร่ที่แรงซื้อภาคครัวเรือนกลับมา ค้าปลีกขนาดใหญ่จะเป็นกลุ่มที่กลับมาโดดเด่นก่อนกว่ากลุ่มเล็ก แม้เศรษฐกิจไทยปีนี้อาจจะดูไม่สู้จะดีนัก แต่ก็ไม่ได้จะย่ำแย่เหมือนสมัยต้มยำกุ้งเพราะที่มาของปัญหามันต่างกัน และอย่าลืมว่าในทุกวิกฤตนั้นมีโอกาส เพราะฉะนั้นหากเราทำการบ้านดีๆ เราก็จะเห็นโอกาสที่คนอื่นยังมองไม่เห็น ตลาดลงทุนไม่ได้ให้อนาคตกับคนรวยกว่า แต่ให้อนาคตกับคนที่ขยันมากกว่า

สัญญา หาญพัฒนกิจพาณิช 
ผู้อำนวยการทีมพัฒนาธุรกิจตลาดอนุพันธ์ บล.โกลเบล็ก 
กำลังโหลดความคิดเห็น