“บิวตี้ คอมมูนิตี้”ตั้งเป้าเติบโต30% อัตราเติบโตกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า20% วางงบลงทุน200 ล้านบาทขยายสาขาในประเทศเน้นหัวเมืองใหญ่ และรุกขยายสาขาในกลุ่มCLMV รวม78 สาขา ยืนยันการเมืองส่งผลกระทบเล็กน้อย การันตีไตรมาส1โตกว่าQoQ และYoYน.พ.สุวิน ไกรภูเบศ ซีอีโอ “บิวตี้ คอมมูนิตี้”ตั้งเป้าเติบโต30% อัตราเติบโตกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า20% วางงบลงทุน200 ล้านบาทขยายสาขาในประเทศเน้นหัวเมืองใหญ่ และรุกขยายสาขาในกลุ่มCLMV รวม78 สาขา ยืนยันการเมืองส่งผลกระทบเล็กน้อย การันตีไตรมาส1โตกว่าQoQ และYoY
น.พ.สุวิน ไกรภูเบศ ซีอีโอ บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายปลีกผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและบำรุงผิว กล่าวว่า จากปีที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้1,002.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.93% และมีกำไรสุทธิ 211.41ล้านบาท เพิ่มขึ้น22.23% ทำให้ปีนี้ บริษัทตั้งเป้าเติบโตไม่ต่ำกว่า30% และรักษาอัตราเติบโตของกำไรสุทธิไม่ต่ำกว่า20%
โดยมีแผนจะใช้เงินลงทุนประมาณ180-200ล้านบาทในการขยายสาขาที่เน้นเปิดตัวตามหัวเมืองใหญ่ของประเทศ65 สาขา และขยายไปเปิดสาขาในประเทศกลุ่มภูมิภาคอาเซียน(AEC) ซึ่งจะเน้นในกลุ่มประเทศ กัมพูชา ลาว เมียนมาร์ และเวียดนามอีก 13สาขา
อย่างไรก็ตามในส่วนการสร้างแวร์เฮ้าส์ และศูนย์ฝึกอบรมบุคลากร มีความจำเป็นต้องเลื่อนการแล้วเสร็จออกไปเนื่องจากบริษัทได้ปรับปรุงแบบโครงสร้าง เพื่อรองรับการเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายปี2558
ซีอีโอ BEAUTY กล่าวถึงภาพรวมธุรกิจในด้านการผลิตสนค้าว่า แม้บริษัทมีศักยภาพในการจัดตั้งโรงงานผลิตสินค้าขึ้นเองได้ แต่จะให้น้ำหนักต่อการจ้างผลิตมากกว่า เนื่องจากส่งผลดีในด้านต้นทุนการผลิต อีกทั้งปัจจุบัน มีผู้รับผลิตสินค้าที่มีคุณภาพจำนวนมากเสนอตัวเข้ามารับงานจากบริษัททำให้สามารถควบคุมต้นทุนสินค้าได้ดีกว่า
ขณะที่ในแง่ของการขาย ผู้บริหาร BEAUTY ให้ความเห็นว่า ตลาดในประเทศผู้ครองส่วนแบ่งตลาดขนนาดใหญ่จะเป็นกลุ่มLocal Brand ซึ่งในส่วนของบริษัทพบว่าสินค้ายังได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากผู้บริโภค รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวอาเซียน สิงคโปร์ เกาหลี ญี่ปุ่น และกลุ่มตะวันออกกลางที่ให้ความสนใจซื้อสินค้าของบริษัทไปใช้หรือเป็นของฝากเพิ่มเติม ขณะที่นักท่องเที่ยวจากจีนมีการซื้อสินค้าของบริษัทเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ เพราะได้นำไปขายต่อผ่านทางอินเตอร์เนต ทำให้งบการตลาดในปีนี้ บริษัทเพิ่มความสำคัญต่ออินเตอร์เนตมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม บริษัทยอมรับว่าการรักษาอัตราการเติบโตของกำไรเป็นเรื่องที่หนัก เพราะเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และกระจายความเสี่ยงบริษัทจำเป็นต้องมีการเปิดสาขาอย่างต่อเนื่อง และจำเป็นต้องเพิ่มบุคลากร โดยในเรื่องดังกล่าวผู้บริหารยืนยันว่าจะไม่ผลกระทบต่อการเติบโตทั้งในด้านรายได้ กำไรขั้นต้น และกำไรสุทธิอย่างแน่นอน เนื่องจากได้ให้ความสำคัญต่อด้านต้นทุนการดำเนินงานเป็นพิเศษ
น.พ.สุวิน กล่าวถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศว่า ได้สร้างผลกระทบต่อธุรกิจของบริษัทเพียงเล็กน้อย เมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมอื่น โดยยอดขายในช่วงที่มีการชุมนุมลดไป5-6% แต่พอเข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์จากสถานการณ์ที่ลดความตรึงเครียดลง ก็มีผลให้ยอดขายได้รับผลกระทบน้อยลงเหลือ2-3%เท่านั้น
“สาขาที่อยู่ใกล้พื้นที่การชุมนุมได้รับผลกกระทบ แต่ลูกค้าก็เลือกที่จะย้ายไปซื้อสินค้าในสาขาอื่นของกรุงเทพฯแทน ทำให้ยออดบางสาขาสูงมาก อีกทั้งจากการเพิ่มสาขาในต่างจังหวัดให้มากขึ้นก็มีผลให้เราช่วยกระจายความเสี่ยงได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน ดังนั้นเราขอยืนยันว่าอัตราการเติบโตของไตรมาส1/57 จะเติบโตจากไตรมาส4/56 และไตรมาส1/56 แน่”