“บิวตี้ คอมมูนิตี้” วางเป้าปี 57 รายได้โตเพิ่มจากปีก่อนอีก 30% พร้อมปูพรมเปิดสาขาเพิ่มเป้าหมายจ่อ 300 แห่งทั่วประเทศ เชื่อเปิดเออีซีช่วยเพิ่มตลาดให้สินค้า และเพิ่มรายได้ เตรียมขยายสาขาในต่างแดนเพิ่มอีก 13 แห่ง มั่นใจธุรกิจเครื่องสำอางไทยแข็งแกร่งแข่งขันได้
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY กล่าวว่า จากภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 728.06 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 558.63 ล้านบาท ประมาณ 169 ล้านบาท หรือ 30% และมีกำไรสุทธิ 157.63 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการสิ้นปี 2556 น่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ รายได้มากกว่าพันล้านและกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยผลประกอบการเติบโตเพิ่มขึ้นเนื่องจากยอดขายของ BEAUTY BUFFET, BEAUTY COTTAGE และ BEAUTY MARKET ส่วนภาพรวมของปี 2557 วางแผนไว้ว่ารายได้เติบโต 30% และกำไรจะเติบโตประมาณ 20% จากการขยายสาขาใหม่ และการเติบโตจากยอดขายสาขาเดิม
ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทวางแผนขยายสาขาในประเทศ BEAUTY BUFFET เปิดเพิ่ม 30 สาขา จากปัจจุบัน 180 สาขา เป็น 210 สาขา BEAUTY COTTAGE เปิดเพิ่มอีก 20 สาขา จากปัจจุบัน 50 สาขา เป็น 70 สาขา และ BEAUTY MARKET เปิดเพิ่มอีก 15 สาขา จากปัจจุบัน 3 สาขา เป็น 18 สาขา โดยคาดว่าสิ้นปี 2557 สาขาในประเทศของบริษัทจะมีทั้งสิ้น 298 สาขา
ขณะที่สาขาในต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2556 มีสาขารวม 6 แห่ง และในปีนี้คาดว่าจะมีการขยายสาขา BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ในต่างประเทศเพิ่มเติมรวม 13 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม เปิดเพิ่ม 4 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 2 สาขา) จากปัจจุบัน 2 สาขา, กัมพูชา เปิดเพิ่ม 4 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 2 สาขา) จากปัจจุบัน 4 สาขา และเปิดที่ลาว 3 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 1 สาขา) พม่า 2 สาขา (BEAUTY BUFFET 1 สาขา BEAUTY COTTAGE 1 สาขา)
นอกจากนี้ ในช่องทางการจำหน่ายผ่านทางระบบ E-commerce แต่เดิมขายผ่าน E-commerce เจ้าอื่น แต่ในปีนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาช่องทางการขายผ่านทาง Facebook และ Website ของบริษัทเอง
“เนื่องด้วยธุรกิจของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับความงาม คือ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นบริษัทมีหลักในการบริหารองค์กรด้วยหลักปรัชญา 3 ข้อ คือ 1.Creative คือ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และ shop concept ต่างๆ 2.Dynamic การขับเคลื่อนธุรกิจเนื่องจากการตลาดค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของธุรกิจที่เป็นเครื่องสำอาง ตลอดจนถึงกระแสนิยมต่างๆ ด้วย ทำให้ต้องเน้นในเรื่องความสามารถในการปรับตัว ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และ 3.ความยั่งยืน เน้นคำนึงถึงเรื่องคุณภาพที่ดีของผลิตภัณฑ์”
ส่วนแผนรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEAUTY กล่าวว่า สิ่งสำคัญจะต้องเตรียมการเรื่องบุคลากร ต้องมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยที่บริษัทพยายามสร้างเกณฑ์วิธีการทำงานต่างๆ ให้เป็นมาตรฐาน มีระบบที่ดี ตลอดจนถึงมีการอบรมความรู้แก่พนักงาน
ขณะเดียวกัน ในด้านการสาขาบริษัทมีการเปิดสาขาในต่างประเทศที่เป็นสาขานำร่อง ซึ่งจะใช้ความรู้ และตัวเลขต่างๆ หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่ได้มาจากการเปิดสาขาในประเทศกลุ่ม CLMV คือประเทศ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม มาพัฒนาวิธีการทำการตลาดให้เหมาะต่อความต้องการในแต่ละประเทศ
“ในไทยเองบริษัทก็มีฐานลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมาซื้อผลิตภัณฑ์ของ BEAUTY ซึ่งจากที่บริษัทได้ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าต่างชาติ ทำให้คาดว่าในปี 2558 สัดส่วนรายได้จากจุดนี้จะอยู่ที่ 2.3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1% การรุกเข้าไปในตลาดเพื่อนบ้านถือเป็นการเริ่มต้นของโอกาสที่จะขยายกลุ่มของลูกค้า จากประชากรในประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 60 ล้านคน ให้กลายไปเป็นประชากรของ AEC 600 ล้านคนในอนาคต ดังนั้น เป็นโอกาสที่ดีในการขยายแหล่งรายได้ ข้อได้เปรียบคือ ประเทศเพื่อนบ้านมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย และไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางในการผลิตเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะผลิตเพื่อขายในประเทศ หรือผลิตเพื่อส่งออก ดังนั้น ธุรกิจเครื่องสำอางของไทยถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความแข่งแกร่งสามารถทำการแข่งขันได้”
นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิวตี้ คอมมูนิตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ BEAUTY กล่าวว่า จากภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีที่ผ่านมา ผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 728.06 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 558.63 ล้านบาท ประมาณ 169 ล้านบาท หรือ 30% และมีกำไรสุทธิ 157.63 ล้านบาท ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการสิ้นปี 2556 น่าจะเป็นไปตามเป้าที่วางไว้คือ รายได้มากกว่าพันล้านและกำไรเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% โดยผลประกอบการเติบโตเพิ่มขึ้นเนื่องจากยอดขายของ BEAUTY BUFFET, BEAUTY COTTAGE และ BEAUTY MARKET ส่วนภาพรวมของปี 2557 วางแผนไว้ว่ารายได้เติบโต 30% และกำไรจะเติบโตประมาณ 20% จากการขยายสาขาใหม่ และการเติบโตจากยอดขายสาขาเดิม
ทั้งนี้ ในปี 2557 บริษัทวางแผนขยายสาขาในประเทศ BEAUTY BUFFET เปิดเพิ่ม 30 สาขา จากปัจจุบัน 180 สาขา เป็น 210 สาขา BEAUTY COTTAGE เปิดเพิ่มอีก 20 สาขา จากปัจจุบัน 50 สาขา เป็น 70 สาขา และ BEAUTY MARKET เปิดเพิ่มอีก 15 สาขา จากปัจจุบัน 3 สาขา เป็น 18 สาขา โดยคาดว่าสิ้นปี 2557 สาขาในประเทศของบริษัทจะมีทั้งสิ้น 298 สาขา
ขณะที่สาขาในต่างประเทศ ณ สิ้นปี 2556 มีสาขารวม 6 แห่ง และในปีนี้คาดว่าจะมีการขยายสาขา BEAUTY BUFFET และ BEAUTY COTTAGE ในต่างประเทศเพิ่มเติมรวม 13 แห่ง ได้แก่ เวียดนาม เปิดเพิ่ม 4 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 2 สาขา) จากปัจจุบัน 2 สาขา, กัมพูชา เปิดเพิ่ม 4 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 2 สาขา) จากปัจจุบัน 4 สาขา และเปิดที่ลาว 3 สาขา (BEAUTY BUFFET 2 สาขา BEAUTY COTTAGE 1 สาขา) พม่า 2 สาขา (BEAUTY BUFFET 1 สาขา BEAUTY COTTAGE 1 สาขา)
นอกจากนี้ ในช่องทางการจำหน่ายผ่านทางระบบ E-commerce แต่เดิมขายผ่าน E-commerce เจ้าอื่น แต่ในปีนี้บริษัทอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาช่องทางการขายผ่านทาง Facebook และ Website ของบริษัทเอง
“เนื่องด้วยธุรกิจของบริษัทอยู่ในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับความงาม คือ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเปลี่ยนแปลง และเติบโตอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นบริษัทมีหลักในการบริหารองค์กรด้วยหลักปรัชญา 3 ข้อ คือ 1.Creative คือ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการดำเนินงานของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และ shop concept ต่างๆ 2.Dynamic การขับเคลื่อนธุรกิจเนื่องจากการตลาดค่อนข้างมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจเป็นเพราะธรรมชาติของธุรกิจที่เป็นเครื่องสำอาง ตลอดจนถึงกระแสนิยมต่างๆ ด้วย ทำให้ต้องเน้นในเรื่องความสามารถในการปรับตัว ปรับเปลี่ยนได้อย่างรวดเร็ว และ 3.ความยั่งยืน เน้นคำนึงถึงเรื่องคุณภาพที่ดีของผลิตภัณฑ์”
ส่วนแผนรองรับการเปิดเสรีประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BEAUTY กล่าวว่า สิ่งสำคัญจะต้องเตรียมการเรื่องบุคลากร ต้องมีความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษมากขึ้น โดยที่บริษัทพยายามสร้างเกณฑ์วิธีการทำงานต่างๆ ให้เป็นมาตรฐาน มีระบบที่ดี ตลอดจนถึงมีการอบรมความรู้แก่พนักงาน
ขณะเดียวกัน ในด้านการสาขาบริษัทมีการเปิดสาขาในต่างประเทศที่เป็นสาขานำร่อง ซึ่งจะใช้ความรู้ และตัวเลขต่างๆ หรือพฤติกรรมผู้บริโภคที่ได้มาจากการเปิดสาขาในประเทศกลุ่ม CLMV คือประเทศ กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม มาพัฒนาวิธีการทำการตลาดให้เหมาะต่อความต้องการในแต่ละประเทศ
“ในไทยเองบริษัทก็มีฐานลูกค้ากลุ่มนักท่องเที่ยว หรือลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติมาซื้อผลิตภัณฑ์ของ BEAUTY ซึ่งจากที่บริษัทได้ทำการวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อของลูกค้าต่างชาติ ทำให้คาดว่าในปี 2558 สัดส่วนรายได้จากจุดนี้จะอยู่ที่ 2.3% จากปัจจุบันอยู่ที่ 1% การรุกเข้าไปในตลาดเพื่อนบ้านถือเป็นการเริ่มต้นของโอกาสที่จะขยายกลุ่มของลูกค้า จากประชากรในประเทศไทยที่มีอยู่กว่า 60 ล้านคน ให้กลายไปเป็นประชากรของ AEC 600 ล้านคนในอนาคต ดังนั้น เป็นโอกาสที่ดีในการขยายแหล่งรายได้ ข้อได้เปรียบคือ ประเทศเพื่อนบ้านมีทัศนคติที่ดีต่อสินค้าไทย และไทยถือว่าเป็นศูนย์กลางในการผลิตเครื่องสำอาง ไม่ว่าจะผลิตเพื่อขายในประเทศ หรือผลิตเพื่อส่งออก ดังนั้น ธุรกิจเครื่องสำอางของไทยถือว่าเป็นอุตสาหกรรมที่มีความแข่งแกร่งสามารถทำการแข่งขันได้”