พีดีเฮ้าส์ ชี้อสังหาฯ รับสร้างบ้านกทม.และปริมณฑลซึมยาว หลังเจอการเมืองพ่นพิษ เผยผู้ประกอบการชั้นนำต่างเร่งปรับตัวหวังลดความเสี่ยง ทั้งขยายสาขาตจว. เพิ่มรัศมีการรับสร้างบ้านไกล 200 กม. และปรับกลยุทธ์การใช้สื่อโฆษณา เป็นต้น เผยปี 57 บริษัทฯ เดินหน้าตามแผน 5 ปี ด้วยเป้ายอดขาย 2 พันล้านบาท และเปิดสาขาใหม่ 10 แห่ง สวนทางเศรษฐกิจชะลอตัว พร้อมเตรียมอัดงบโฆษณา 30 ล้านบาท ตอกย้ำแบรนด์พีดีเฮ้าส์ให้อยู่ในใจผู้บริโภค แนะการใช้สื่อโฆษณามีความสำคัญในสถานการณ์ที่กำลังซื้อมีจำกัด
นางมาลี สุวรรณสุต รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งของสองขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีมากว่าสี่เดือน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะยุติลงเมื่อใด ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายอยากเห็นความขัดแย้งยุติลงโดยเร็วที่สุด เพราะมิฉะนั้นแล้วเศรษฐกิจของประเทศ อาจเสียหายจนยากจะฟื้นคืนกลับมา ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับสร้างบ้านนั้น ผู้ประกอบการต่างก็ได้รับผลกระทบ มาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วง ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในพื้นที่ภาคใต้บางจังหวัด ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่มาติดต่อหรือเยี่ยมชมโครงการและยอดขายบ้านลดลงอย่างน่าใจหาย
“ภายใต้ในสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ผ่านทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเภทของสื่อโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักหรือเข้าถึง “บริษัทรับสร้างบ้าน” ได้ง่ายและสะดวกที่สุด โดยพบว่า อันดับแรก ป้ายโฆษณา คิดเป็นร้อยละ 33 อันดับ 2 โซเชียลมีเดีย ร้อยละ 23 อันดับ 3 หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ร้อยละ 21 อันดับ 4 ทีวี ร้อยละ 18 และอันดับสุดท้าย งานแสดงสินค้า คิดเป็นร้อยละ 5 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประเภทของสื่อ ที่เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดคือ “ป้ายโฆษณา” และ “โซเชียลมีเดีย” โดยบริษัทฯ เองก็ได้นำข้อมูลดังกล่าว มาปรับกลยุทธ์การเลือกใช้สื่อโฆษณาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน จึงทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น”
ในส่วนของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ ที่แข่งขันอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นก็ได้มีการปรับตัวเอง ซึ่งมีทั้งปรับลดค่าใช้จ่ายและลงทุนเพิ่ม เพื่อเป็นการลดและกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ รวมทั้งหาช่องทางขยายสู่โอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งนี้พบว่ากลยุทธ์หรือแนวทางหลักๆ ที่ผู้ประกอบการนำมาใช้กันคือ 1.)การขยายสาขาออกไปในภูมิภาคหรือต่างจังหวัด 2.)ปรับการใช้สื่อโฆษณาจากเดิมที่นิยมใช้สื่อหลักมาเป็นสื่อท้องถิ่นแทน 3.)เพิ่มการให้บริการสร้างบ้านในรัศมีไกลจากที่ตั้งสำนักงานมากขึ้นหรือมากกว่า 100-200 กม. อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของกลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากคู่แข่งในท้องถิ่น ซึ่งปักหลักทำตลาดในพื้นที่แต่ละจังหวัดอยู่ก่อนแล้ว
สำหรับแผนการรุกขยายตลาดของบริษัทฯในปี57 อาจดูสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งเป้ายอดขายบ้านที่ตั้งไว้สูงถึง 2,000 ล้านบาท และเป้าขยายสาขาใหม่อีก 10-12 แห่ง โดยที่ทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กัน และเกิดจาก โรดแมป หรือแผนธุรกิจที่บริษัทฯ วางไว้ 5 ปีก่อนหน้านี้ ว่าด้วยการลงทุนและการขยายตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถรุก-รับกับการเปิดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี โดยบริษัทฯ ยังมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามแผนฯ และเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้ง 2 ส่วน ด้วยจำนวนสาขาที่มีอยู่เกือบ 40 แห่งหรือมากเป็นอันดับ 1 และกระจายอยู่ทุกภูมิภาค ทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ดังนั้น แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่เอื้อต่อกำลังซื้อเท่าไรนัก แต่บริษัทฯ ก็ยังไม่ปรับลดเป้าที่ตั้งไว้ลงจากเดิม
ปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไว้ประมาณ 30 ล้านบาทเศษ โดยฝ่ายการตลาดยังคงให้ความสำคัญที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายช่องทาง เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ ให้เป็นที่จดจำและอยู่ในใจของผู้บริโภคมากขึ้น เพียงแต่การเลือกใช้สื่อแต่ละประเภท จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังซื้อมีอยู่จำกัด ดังนั้นงบการตลาดที่ใช้จึงควรวัดหรือประเมินผลได้และเข้าเป้าที่สุด อย่างเช่น บริษัทฯ มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้ควรเน้นการใช้ป้ายโฆษณาและโซเชียลมีเดียเป็นสื่อหลัก ในขณะที่การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไม่น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน นางมาลี กล่าวสรุป
นางมาลี สุวรรณสุต รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดี เฮ้าส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ปัญหาความขัดแย้งของสองขั้วอำนาจทางการเมืองที่มีมากว่าสี่เดือน จนถึงขณะนี้ยังไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะยุติลงเมื่อใด ทั้งๆ ที่ทุกฝ่ายอยากเห็นความขัดแย้งยุติลงโดยเร็วที่สุด เพราะมิฉะนั้นแล้วเศรษฐกิจของประเทศ อาจเสียหายจนยากจะฟื้นคืนกลับมา ซึ่งภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และรับสร้างบ้านนั้น ผู้ประกอบการต่างก็ได้รับผลกระทบ มาตั้งแต่ช่วงไตรมาสสี่ปีที่แล้วต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะพื้นที่ที่มีการชุมนุมประท้วง ได้แก่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในพื้นที่ภาคใต้บางจังหวัด ส่งผลให้จำนวนลูกค้าที่มาติดต่อหรือเยี่ยมชมโครงการและยอดขายบ้านลดลงอย่างน่าใจหาย
“ภายใต้ในสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองและภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้ทำการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ผ่านทางสื่อออนไลน์เกี่ยวกับประเภทของสื่อโฆษณาที่ทำให้ผู้บริโภครู้จักหรือเข้าถึง “บริษัทรับสร้างบ้าน” ได้ง่ายและสะดวกที่สุด โดยพบว่า อันดับแรก ป้ายโฆษณา คิดเป็นร้อยละ 33 อันดับ 2 โซเชียลมีเดีย ร้อยละ 23 อันดับ 3 หนังสือพิมพ์และนิตยสาร ร้อยละ 21 อันดับ 4 ทีวี ร้อยละ 18 และอันดับสุดท้าย งานแสดงสินค้า คิดเป็นร้อยละ 5 ทั้งนี้จะเห็นได้ว่าประเภทของสื่อ ที่เข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายมากที่สุดคือ “ป้ายโฆษณา” และ “โซเชียลมีเดีย” โดยบริษัทฯ เองก็ได้นำข้อมูลดังกล่าว มาปรับกลยุทธ์การเลือกใช้สื่อโฆษณาในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมาเช่นกัน จึงทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น”
ในส่วนของผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ ที่แข่งขันอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลนั้นก็ได้มีการปรับตัวเอง ซึ่งมีทั้งปรับลดค่าใช้จ่ายและลงทุนเพิ่ม เพื่อเป็นการลดและกระจายความเสี่ยงของธุรกิจ รวมทั้งหาช่องทางขยายสู่โอกาสทางการตลาดใหม่ๆ ทั้งนี้พบว่ากลยุทธ์หรือแนวทางหลักๆ ที่ผู้ประกอบการนำมาใช้กันคือ 1.)การขยายสาขาออกไปในภูมิภาคหรือต่างจังหวัด 2.)ปรับการใช้สื่อโฆษณาจากเดิมที่นิยมใช้สื่อหลักมาเป็นสื่อท้องถิ่นแทน 3.)เพิ่มการให้บริการสร้างบ้านในรัศมีไกลจากที่ตั้งสำนักงานมากขึ้นหรือมากกว่า 100-200 กม. อย่างไรก็ตาม การปรับตัวของกลุ่มผู้ประกอบการดังกล่าวก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะต้องเผชิญกับแรงเสียดทานจากคู่แข่งในท้องถิ่น ซึ่งปักหลักทำตลาดในพื้นที่แต่ละจังหวัดอยู่ก่อนแล้ว
สำหรับแผนการรุกขยายตลาดของบริษัทฯในปี57 อาจดูสวนทางกับสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทั้งเป้ายอดขายบ้านที่ตั้งไว้สูงถึง 2,000 ล้านบาท และเป้าขยายสาขาใหม่อีก 10-12 แห่ง โดยที่ทั้งสองส่วนมีความสัมพันธ์กัน และเกิดจาก โรดแมป หรือแผนธุรกิจที่บริษัทฯ วางไว้ 5 ปีก่อนหน้านี้ ว่าด้วยการลงทุนและการขยายตลาดรับสร้างบ้านทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถรุก-รับกับการเปิดรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือเออีซี โดยบริษัทฯ ยังมั่นใจว่าจะสามารถทำได้ตามแผนฯ และเป้าหมายที่ตั้งไว้ทั้ง 2 ส่วน ด้วยจำนวนสาขาที่มีอยู่เกือบ 40 แห่งหรือมากเป็นอันดับ 1 และกระจายอยู่ทุกภูมิภาค ทำให้บริษัทฯ สามารถให้บริการได้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศมากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ดังนั้น แม้ว่าสถานการณ์ทางการเมืองจะไม่เอื้อต่อกำลังซื้อเท่าไรนัก แต่บริษัทฯ ก็ยังไม่ปรับลดเป้าที่ตั้งไว้ลงจากเดิม
ปีนี้บริษัทฯ เตรียมงบโฆษณาและประชาสัมพันธ์ไว้ประมาณ 30 ล้านบาทเศษ โดยฝ่ายการตลาดยังคงให้ความสำคัญที่จะสื่อสารกับผู้บริโภคผ่านสื่อต่างๆ หลากหลายช่องทาง เพื่อเป็นการสร้างการรับรู้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ ให้เป็นที่จดจำและอยู่ในใจของผู้บริโภคมากขึ้น เพียงแต่การเลือกใช้สื่อแต่ละประเภท จะต้องพิจารณาให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันที่กำลังซื้อมีอยู่จำกัด ดังนั้นงบการตลาดที่ใช้จึงควรวัดหรือประเมินผลได้และเข้าเป้าที่สุด อย่างเช่น บริษัทฯ มองว่าในช่วงครึ่งปีแรกนี้ควรเน้นการใช้ป้ายโฆษณาและโซเชียลมีเดียเป็นสื่อหลัก ในขณะที่การเข้าร่วมงานแสดงสินค้าไม่น่าจะเหมาะกับสถานการณ์ปัจจุบัน นางมาลี กล่าวสรุป