โบรกฯ หวั่นการเมืองลากยาวจะฉุดบริษัทจดทะเบียนกว่าครึ่งตลาดได้รับผลกระทบ อีกทั้งจีดีพีประเทศอาจไม่ถึง 3% อีกทั้งนักลงทุนอาจย้ายตลาดไปต่างแดนหลบเลี่ยงความเสี่ยง มองกลุ่มเดินเรือ และส่งออกที่ไม่พึ่งพิงรายได้แต่เฉพาะในประเทศจะโดดเด่นจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายนอก ให้กรอบ มี.ค. 1,260-1,360 จุด ชี้มีความผันผวนจัดต้องระมัดระวังการลงทุน
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอกการลงทุน จำกัด กล่าวถึงภาพรวมแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคม ว่า จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ข่าวความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองไปในบางส่วนแล้ว ทั้งนี้ ถึงแม้สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบเมื่อไหร่ก็ตาม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น หุ้นกลุ่มเดินเรือที่ไม่ได้มีรายได้มาจากเพียงในประเทศ แต่มาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ตลอดจนหุ้นกลุ่มส่งออกที่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากที่กลุ่มประเทศแถบยุโรปเริ่มฟื้นตัว และมีคำสั่งซื้อเข้ามา รวมถึงหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถึงแม้สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง แต่ประชาชนยังคงใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น และที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลดลงจากปัจจัยทางการเมืองที่เข้ามากระทบจนจุดต่ำสุดแล้วไปแล้ว
ทั้งนี้ ประเมินว่า หากสถานการณ์การเมืองลากยาวไปจนถึง 6 เดือน แนวโน้มที่จะกระทบต่อ GDP ในประเทศมีมากขึ้นพอสมควร ซึ่งคาดว่าจะมีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนภาครัฐ
“หากการเมืองยืดยาวมีโอกาสทำให้จีดีพีติดลบ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ งบประมาณประจำปีออกมาไม่ได้เพราะไม่มีสภา เดิมประเมินไว้ 4% หากปัญหาเกินครึ่งปีอาจไม่ถึง 3% แต่บริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ไม่อิงกับการบริโภคในประเทศจะได้รับอานิสงส์จากภายนอกช่วยให้เติบโต โดยเชื่อว่าหุ้นยังขึ้นได้อีกกว่า 30 จุด แม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก็เชื่อว่าจะลดลงไม่แรงมากนัก”
โดยมองว่า Forward P/E 12 เท่ากว่า ถ้าไปที่ 13 เท่า ดัชนีหลักทรัพย์ก็สามารถขึ้นไปถึง 1,400 จุดได้ แต่ตอนนี้มองว่ามีโอกาสถึง 14 เท่า ขณะที่หุ้น IPO มองว่าหากเป็นหุ้นที่ไม่อิงเกณฑ์มาร์เกตแคป ส่วนตัวมองว่าจะได้รับแรงตอบรับจากนักลงทุนดีกว่า และมีแนวโน้มที่สดใส
น.ส.ธีรดาชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีนาคมนี้ปัจจัยการเมืองยังกดดันตลาดหุ้นต่อไป ทั้งที่ความจริง มี.ค.ครบกำหนดการเปิดสภาครั้งแรก แต่เชื่อว่ายังไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งยังมีหลายเรื่องต้องติดตาม เช่น คำตัดสินของศาล และการชุมนุมของ กปปส. อย่างไรก็ตาม กปปส.เริ่มผ่อนคลาย และเรียกร้องการเจรจามากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี
“ข่าวการเจรจามองว่าจะเป็นบวกต่อตลาดในระยะสั้น แต่โอกาสความสำเร็จยังมีน้อย จึงเป็นปัจจัยที่ยังรบกวนตลาด อีกทั้งปัจจัยข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่าให้น้ำหนักในตลาดหุ้นไทย โดย มี.ค.น่าจะอยู่ 1,260-1,360จุด แต่ถ้าลากยาวไปถึงครึ่งปี แนวโน้มหุ้นไทยตกลงแน่ จะมี Down Side ลงไปถึง 1,200 ต้นๆ ยิ่งลากยาวยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น และไม่มีใครสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะจบได้รูปแบบไหน แต่ตลาดจะตอบรับค่อนข้างเร็ว แนะนำการลงทุนในระยะสั้น ควรระมัดระวังเพราะผันผวน และมีความเสี่ยงสูง”
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีได้ต่ำสุดในช่วงต้นปีไปแล้ว จากเรื่องการเมือง และผลประกอบการ บจ.ที่อ่อนแอในช่วงไตรมาส 1-2 แต่เริ่มเห็นดัชนีปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองที่กลุ่มผู้ชุมนุมพร้อมที่จะตั้งโต๊ะเจรจา แม้จะยังไม่เกิดขึ้นแต่ก็เป็นบรรยากาศเชิงบวกต่อการลงทุน และหากเกิดขึ้นอาจทำให้แนวโน้มหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก และปัญหาการเมืองจะจบได้ภายในครึ่งปีแรก
“หากการเมืองจบเร็ว คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นในครึ่งปีหลัง ทำให้กำไร Earning กลับมา มี.ค.มองว่ากลุ่มที่น่าสนใจ คือ อุตสาหกรรมที่อิงต่อเศรษฐกิจโลก เช่น อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเดินเรือ จากออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงกลุ่มที่วัฏจักรฟื้นตัว อย่างปิโตรเคมี ซึ่ง Outperfrom จากตลาดมาพักแล้ว โดยในเดือน มี.ค.คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ประมาณ 1,330 จุด แต่อาจขึ้นไปทดสอบที่ 1,350 จุดได้เช่นกัน”
ขณะที่กลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ ที่ผ่านมาปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้ว โดยในแง่ของราคามีความน่าสนใจ เช่น HMPRO INTUCH ซึ่งตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว เชื่อว่าจะไม่ลงไปมากกว่านี้ โดยให้เฝ้าระวังหากปรับตัวลงอีกให้เข้าซื้อสะสม
“INTUCH ที่ได้รับแรงกดดันจากการเมือง หากการชุมนุมยังยืดเยื้อไปกว่า 6 เดือน ก็ถือว่ามีความเสี่ยง แม้จะไม่เกิดเหตุการณ์เท่าปี 2553 แต่ด้วยจำนวนประชาชนที่ออกมาชุมนุมนั้นมากกว่า ก็ทำให้ความกดดันในเรื่องนี้มีเพิ่มขึ้น และหากลากยาวไปถึงครึ่งปีหลัง คงต้องมารอดูอีกว่าเป็นเช่นไร แต่ด้วยฐานของมาร์เกตแคปกลุ่มชินคอร์ปที่ใหญ่ ทำให้โอกาสที่จะกระทบอาจไม่รุนแรงเพราะขนาดของไซส์ที่ใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน ราคาหุ้น INTUCH ยังอยู่ในระดับสูงแทบสูงที่สุด และราคาหุ้นไม่น่าจะสามารถลดลงไปได้ต่ำกว่านี้แล้ว อีกทั้งฐานการลงทุนที่ขยายไปใน AEC ก็ช่วยเข้ามาชดเชยรายได้ในประเทศไป”
นายเอกพิทยา เอี่ยมคงเอก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอกการลงทุน จำกัด กล่าวถึงภาพรวมแนวโน้มตลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคม ว่า จะปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากนักลงทุนส่วนใหญ่รับรู้ข่าวความเสี่ยงจากปัจจัยการเมืองไปในบางส่วนแล้ว ทั้งนี้ ถึงแม้สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมืองจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะจบเมื่อไหร่ก็ตาม และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนก็ไม่ได้มาจากปัจจัยภายในประเทศเพียงอย่างเดียวเท่านั้น เช่น หุ้นกลุ่มเดินเรือที่ไม่ได้มีรายได้มาจากเพียงในประเทศ แต่มาจากต่างประเทศเป็นส่วนใหญ่ ตลอดจนหุ้นกลุ่มส่งออกที่เริ่มมีแนวโน้มดีขึ้น หลังจากที่กลุ่มประเทศแถบยุโรปเริ่มฟื้นตัว และมีคำสั่งซื้อเข้ามา รวมถึงหุ้นในกลุ่มสื่อสาร ถึงแม้สถานการณ์ความรุนแรงทางการเมือง แต่ประชาชนยังคงใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ และอินเทอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น และที่ผ่านมา ได้ปรับตัวลดลงจากปัจจัยทางการเมืองที่เข้ามากระทบจนจุดต่ำสุดแล้วไปแล้ว
ทั้งนี้ ประเมินว่า หากสถานการณ์การเมืองลากยาวไปจนถึง 6 เดือน แนวโน้มที่จะกระทบต่อ GDP ในประเทศมีมากขึ้นพอสมควร ซึ่งคาดว่าจะมีหุ้นของบริษัทจดทะเบียนอย่างน้อยครึ่งหนึ่งที่จะได้รับผลกระทบ เช่น กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับโครงการลงทุนภาครัฐ
“หากการเมืองยืดยาวมีโอกาสทำให้จีดีพีติดลบ เพราะไม่สามารถทำอะไรได้ งบประมาณประจำปีออกมาไม่ได้เพราะไม่มีสภา เดิมประเมินไว้ 4% หากปัญหาเกินครึ่งปีอาจไม่ถึง 3% แต่บริษัทจดทะเบียนที่มีรายได้ไม่อิงกับการบริโภคในประเทศจะได้รับอานิสงส์จากภายนอกช่วยให้เติบโต โดยเชื่อว่าหุ้นยังขึ้นได้อีกกว่า 30 จุด แม้จะมีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นก็เชื่อว่าจะลดลงไม่แรงมากนัก”
โดยมองว่า Forward P/E 12 เท่ากว่า ถ้าไปที่ 13 เท่า ดัชนีหลักทรัพย์ก็สามารถขึ้นไปถึง 1,400 จุดได้ แต่ตอนนี้มองว่ามีโอกาสถึง 14 เท่า ขณะที่หุ้น IPO มองว่าหากเป็นหุ้นที่ไม่อิงเกณฑ์มาร์เกตแคป ส่วนตัวมองว่าจะได้รับแรงตอบรับจากนักลงทุนดีกว่า และมีแนวโน้มที่สดใส
น.ส.ธีรดาชาญยิ่งยงค์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า มีนาคมนี้ปัจจัยการเมืองยังกดดันตลาดหุ้นต่อไป ทั้งที่ความจริง มี.ค.ครบกำหนดการเปิดสภาครั้งแรก แต่เชื่อว่ายังไม่สามารถดำเนินการได้ อีกทั้งยังมีหลายเรื่องต้องติดตาม เช่น คำตัดสินของศาล และการชุมนุมของ กปปส. อย่างไรก็ตาม กปปส.เริ่มผ่อนคลาย และเรียกร้องการเจรจามากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นข่าวดี
“ข่าวการเจรจามองว่าจะเป็นบวกต่อตลาดในระยะสั้น แต่โอกาสความสำเร็จยังมีน้อย จึงเป็นปัจจัยที่ยังรบกวนตลาด อีกทั้งปัจจัยข้อมูลเศรษฐกิจต่างประเทศ อาจทำให้นักลงทุนตัดสินใจไปลงทุนในต่างประเทศมากกว่าให้น้ำหนักในตลาดหุ้นไทย โดย มี.ค.น่าจะอยู่ 1,260-1,360จุด แต่ถ้าลากยาวไปถึงครึ่งปี แนวโน้มหุ้นไทยตกลงแน่ จะมี Down Side ลงไปถึง 1,200 ต้นๆ ยิ่งลากยาวยิ่งกระทบต่อเศรษฐกิจมากขึ้น และไม่มีใครสามารถประเมินสถานการณ์ได้ว่าจะจบได้รูปแบบไหน แต่ตลาดจะตอบรับค่อนข้างเร็ว แนะนำการลงทุนในระยะสั้น ควรระมัดระวังเพราะผันผวน และมีความเสี่ยงสูง”
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ทรีนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ดัชนีได้ต่ำสุดในช่วงต้นปีไปแล้ว จากเรื่องการเมือง และผลประกอบการ บจ.ที่อ่อนแอในช่วงไตรมาส 1-2 แต่เริ่มเห็นดัชนีปรับตัวดีขึ้นจากสถานการณ์การเมืองที่กลุ่มผู้ชุมนุมพร้อมที่จะตั้งโต๊ะเจรจา แม้จะยังไม่เกิดขึ้นแต่ก็เป็นบรรยากาศเชิงบวกต่อการลงทุน และหากเกิดขึ้นอาจทำให้แนวโน้มหุ้นไทยปรับตัวเพิ่มขึ้นมาก และปัญหาการเมืองจะจบได้ภายในครึ่งปีแรก
“หากการเมืองจบเร็ว คาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นในครึ่งปีหลัง ทำให้กำไร Earning กลับมา มี.ค.มองว่ากลุ่มที่น่าสนใจ คือ อุตสาหกรรมที่อิงต่อเศรษฐกิจโลก เช่น อาหาร อิเล็กทรอนิกส์ และกลุ่มเดินเรือ จากออเดอร์ที่เพิ่มมากขึ้น รวมถึงกลุ่มที่วัฏจักรฟื้นตัว อย่างปิโตรเคมี ซึ่ง Outperfrom จากตลาดมาพักแล้ว โดยในเดือน มี.ค.คาดว่าดัชนีหุ้นไทยจะอยู่ประมาณ 1,330 จุด แต่อาจขึ้นไปทดสอบที่ 1,350 จุดได้เช่นกัน”
ขณะที่กลุ่มที่อิงกับเศรษฐกิจในประเทศ ที่ผ่านมาปรับตัวลงมาระดับหนึ่งแล้ว โดยในแง่ของราคามีความน่าสนใจ เช่น HMPRO INTUCH ซึ่งตลาดรับรู้ข่าวร้ายไปมากแล้ว เชื่อว่าจะไม่ลงไปมากกว่านี้ โดยให้เฝ้าระวังหากปรับตัวลงอีกให้เข้าซื้อสะสม
“INTUCH ที่ได้รับแรงกดดันจากการเมือง หากการชุมนุมยังยืดเยื้อไปกว่า 6 เดือน ก็ถือว่ามีความเสี่ยง แม้จะไม่เกิดเหตุการณ์เท่าปี 2553 แต่ด้วยจำนวนประชาชนที่ออกมาชุมนุมนั้นมากกว่า ก็ทำให้ความกดดันในเรื่องนี้มีเพิ่มขึ้น และหากลากยาวไปถึงครึ่งปีหลัง คงต้องมารอดูอีกว่าเป็นเช่นไร แต่ด้วยฐานของมาร์เกตแคปกลุ่มชินคอร์ปที่ใหญ่ ทำให้โอกาสที่จะกระทบอาจไม่รุนแรงเพราะขนาดของไซส์ที่ใหญ่ ซึ่งปัจจุบัน ราคาหุ้น INTUCH ยังอยู่ในระดับสูงแทบสูงที่สุด และราคาหุ้นไม่น่าจะสามารถลดลงไปได้ต่ำกว่านี้แล้ว อีกทั้งฐานการลงทุนที่ขยายไปใน AEC ก็ช่วยเข้ามาชดเชยรายได้ในประเทศไป”