“ฟิทช์” ประเมินปัญหาความตึงเครียดทางการเมืองของไทย อาจส่งผลกระทบความน่าเชื่อถือประเทศ เตือนหนี้ภาคครัวเรือนพุ่งกำลังบั่นทอนฐานะทางการเงินในระบบธนาคาร
บริษัท ฟิทช์ เรทติงส์ จำกัด เปิดเผยว่า การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 ก.พ. ซึ่งยังไม่ได้ข้อสรุปในขณะนี้ยังไม่สามารถลดความตึงเครียดทางการเมืองที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมาได้ ซึ่งความขัดแย้งทางการเมืองที่ยืดเยื้อ และรุนแรงยิ่งขึ้นอาจจะกระทบภาวะเศรษฐกิจของไทยเมื่อเทียบกับประเทศอื่นที่มีอันดับความน่าเชื่อถือเท่ากันในที่สุด และอาจจะบั่นทอนความแข็งแกร่งของความน่าเชื่อถือนี้
ทั้งนี้ คาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ที่ระดับ 3% อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองคลี่คลายลง จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัว จะทำให้เศรษฐกิจขยายตัวได้ที่3.5% ในปีนี้
โดยสถานการณ์ตึงเครียดทางการเมืองได้กระทบกิจกรรมทางเศรษฐกิจแล้ว ซึ่งเห็นได้จากในไตรมาส 4 /56 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) ที่หดตัวลงประมาณ 7% และการเติบโตของยอดค้าปลีก รวมทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคธุรกิจได้ดิ่งแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เกิดภาวะน้ำท่วมครั้งใหญ่ในไตรมาส 4/54
นอกจากนี้ ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และยาวนานกว่าที่ฟิทช์คาดไว้ อาจจะกระทบระบบธนาคาร เนื่องจากคุณภาพสินทรัพย์ที่ถดถอยลง โดยเห็นได้จากการพุ่งขึ้นอย่างมากของหนี้ภาคเอกชน ขณะที่หนี้ครัวเรือนพุ่งแตะระดับ 80% ของจีดีพีในไตรมาส 3/56 จากสิ้นปี 51 ซึ่งอยู่ที่ 56%
ฟิทช์ ยอมรับว่า ระบบธนาคารได้เสริมฐานเงินทุนที่แข็งแกร่งขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยธนาคารไทยทั้งระบบมีสัดส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Tier 1) เพิ่มขึ้นเป็น 12.4% ของสินทรัพย์ที่มีการถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 10.8% ในปี 51 แต่เศรษฐกิจที่ขยายตัวต่ำกว่าคาดเป็นอย่างมาก และเป็นเวลานานอาจจะเริ่มบั่นทอนฐานเงินทุนดังกล่าว
อย่างไรก็ตาม สถานะต่างประเทศของไทยยังคงเป็นปัจจัยหนุนต่อความน่าเชื่อถือ โดยสินทรัพย์ต่างประเทศที่มีสภาพคล่องอยู่ที่ระดับ 2 เท่าของระดับหนี้ต่างประเทศที่มีสภาพคล่อง (ซึ่งรวมถึงหนี้สกุลเงินบาทของผู้มีถิ่นฐานอยู่นอกประเทศ) และเทียบกับค่ากลางอันดับความน่าเชื่อถือที่ BBB ซึ่งด้วยเหตุผลนี้ ความเสี่ยงจากภาวะปั่นป่วนทางการเมืองที่จะนำไปสู่แรงกดดันต่อสภาพคล่องต่างประเทศจึงยังคงไม่มีแนวโน้มเกิดขึ้นในระยะนี้