รอยเตอร์ - ธนาคารกลางสหรัฐฯเมื่อวันพุธ (29) แถลงปรับลดโครงการเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือนลงอีกเดือนละ 10,000 ล้านดอลลาร์ เดินหน้าลดระดับกระตุ้นเศรษฐกิจแบบพิเศษ แม้เมื่อเร็วๆ นี้ เกิดความยุ่งเหยิงในตลาดเกิดใหม่
นอกจากนี้ เบน เบอร์นันกี ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ซึ่งเตรียมส่งมอบการคุมบังเหียนธนาคารแห่งนี้แก่นางเจเน็ต เยลเลน รองประธานในวันศุกร์ (31) ก็ยังบอกลาที่ประชุมคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินครั้งสุดท้ายของเขา ด้วยการไม่เปลี่ยนสาระสำคัญในอีกหนึ่งในนโยบายหลักของธนาคารกลาง นั่นคือแผนระยะยาวในการคงอัตราดอกเบี้ยระดับต่ำเตี้ยติดดินต่อไปอีกสักระยะ
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินระบุในถ้อยแถลงหลังจากเปิดหารือเป็นเวลา 2 วัน ระบุว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจดีดตัวขึ้นในช่วงไม่กี่ไตรมาสที่ผ่านมา หลังจากความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจสหรัฐฯอย่างกว้างขวางคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เมื่อเดือนที่แล้ว พวกเขาตัดสินใจเริ่มต้นลดระดับโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจลง
และด้วยมติลดระดับการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบเมื่อวันพุธ (29) ก็เป็นผลให้นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป ธนาคารกลางสหรัฐฯจะเข้าซื้อพันธบัตรรายเดือน เดือนละ 65,000 ล้านดอลลาร์ จากเดิมซึ่งอยู่ที่ 75,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน ขณะการตัดสินใจนี้ได้รับการสนับสนุนจากคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินอย่างเป็นเอกฉันท์
ในภาพรวมแล้วสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของสหรัฐฯ บ่งชี้ว่าธนาคารกลางอเมริกาจะอยู่บนเส้นทางของการลดระดับการเข้าซื้อพันธบัตรเป็นลำดับขั้นตามที่ เบอร์นันกี คาดหมายไว้ จนกว่าจะเก็บโครงการนี้เข้าลิ้นชักในช่วงปลายปี ขณะที่แรงเทขายเงินตราตลาดเกิดใหม่และในตลาดทุนทั่วโลกเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงตัวเลขการเติบโตด้านการจ้างงานที่น่าผิดหวังของสหรัฐฯในเดือนธันวาคม ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการตัดสินใจของเจ้าหน้าที่เฟด
ขณะเดียวกัน คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินก็ยังยึดมั่นต่อคำสัญญาคงอัตราดอกเบี้ยใกล้ระดับศูนย์ต่อไปจนกว่าอัตราคนว่างงานจะลดลงต่ำกว่าร้อยละ 6.5 ขณะที่ตอนนี้อยู่ที่ร้อยละ 6.7 โดยฉพาะหากว่าอัตราเงินเฟ้อยังอยู่ในระดับต่ำกว่า 2 เปอร์เซ็นต์ตามเป้าหมาย
ข้อมูลเมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งการใช้จ่ายผู้บริโภคและความเชื่อมั่นต่อผลผลิตอุตสาหกรรม ส่งเสริมมุมมองทางบวกต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ด้วยนักวิเคราะห์คาดหมายว่าจีดีพีของสหรัฐฯในไตรมาส 4 น่าจะขยายตัวเหนือคาดหมาย หลังจากไตรมาส 3 เติบโตที่ร้อยละ 4.1