“AH” หดเป้ารายได้ปีนี้เหลือใกล้เคียงปีก่อนที่ 1.6 หมื่นล้านบาท แต่กำไรพุ่ง เนื่องจากรับรู้รายได้จากเงินชดเชยน้ำท่วมปี 54 ตั้งเป้าปีหน้ารายได้คงที่ อัดงบลงทุนปีหน้า 1.5 พันล้าน ตั้ง 2 โรงงานร่วมทุนผลิตชิ้นส่วน เผยสนใจลงทุนโรงงานผลิตชิ้นส่วนในอินเดียคาดสรุปปี 57
นายเย็บ ชู ชวน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.อาปิโก ไฮเทค หรือ AH กล่าวว่า รายได้ของบริษัทฯ ในปีนี้จะใกล้เคียงปีที่แล้ว 1.6 หมื่นล้านบาท แต่ไตรมาส 4 นี้ บริษัทฯ จะรับรู้รายได้จากเงินชดเชยค่าประกันน้ำท่วมเมื่อปี 2554 ทำให้กำไรสุทธิทั้งปีนี้เติบโตขึ้น ส่วนปี2557 บริษัทฯคาดว่าจะมีรายได้ใกล้เคียงปีนี้ เนื่องจากยอดผลิตรถยนต์ในประเทศทรงตัวอยู่ที่ 2.4-2.5 ล้านคันจากปีนี้ที่มียอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 2.4 ล้านตัน โดยบริษัทฯ มีออเดอร์เข้ามาอย่างต่อเนื่องจากค่ายรถยนต์ที่ออกรถรุ่นใหม่มา แต่ความวุ่นวายทางการเมืองจะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้รถยนต์ในประเทศได้
ในขณะที่งบลงทุนของบริษัทในปี 2557 อยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท ซึ่งใช้ในการลงทุนสร้างโรงงานผลิตชิ้นส่วน 2 โรงงาน ที่ร่วมทุนกับบริษัท โซเดเซีย เอสจีพีเอส เอสเอ ประเทศโปรตุเกส และ บริษัท ซูมิโน โคเกียว ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1 และไตรมาส 3/2557 ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความสนใจที่จะตั้งโรงงานผลิตชิ้นส่วนในประเทศอินเดีย และอินโดนีเซีย หลังจากเข้าไปดูโอกาสการลงทุนในประเทศดังกล่าวแล้วหลายครั้ง คาดว่าปีหน้าจะมีความชัดเจนในการลงทุนที่ประเทศอินเดีย โดยปัจจุบัน ตลาดรถยนต์มีศักยภาพค่อนข้างสูง โดยปีนี้มีการผลิตรถยนต์ 2 ล้านคัน และใน 15 ปีข้างหน้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 ล้านคัน/ปี ขณะที่จีนปัจจุบันมีการผลิตรถยนต์อยู่ 20 ล้านคันจาก 10 ปีที่แล้วมีการผลิตอยู่เพียง 3 ล้านคัน คาดว่าในปี 2518 จีนจะมีการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นถึง 30 ล้านคัน
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายในปี 2558 สัดส่วนรายได้จากต่างประเทศจะเพิ่มขึ้นเป็น 50% ของรายได้รวม จากการขยายการลงทุนในยังประเทศใหม่ๆ ทั้งอินเดีย และอินโดนีเซีย โดยขนาดการลงทุนแต่ละแห่งจะไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีรายได้จากต่างประเทศจากโรงงานผลิตชิ้นส่วนในจีน และยอดขายรถยนต์ในมาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วน 20% ของรายได้รวม โดยโรงงานผลิตชิ้นส่วนในจีนมีรายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 2 พันล้านบาทได้ในอนาคต
“ในปี 2558 บริษัทฯ จะมีรายได้เติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังโรงงานร่วมทุนกับญี่ปุ่น และโปรตุเกสทั้ง 2 โรงงานแล้วเสร็จ”
