“บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี” ชี้ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว-ปัญหาการเมืองในประเทศไม่กระทบการดำเนินธุรกิจ ระบุฐานลูกค้า และสัดส่วนรายได้หลักของบริษัทฯ มาจากตลาดต่างประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงเป็นหลัก ด้าน KGI ชี้ลักษณะธุรกิจของ BJCHI มีการแข่งขันที่ไม่รุนแรง เหตุคู่แข่งน้อยราย หนุนขีดความสามารถทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมเดินหน้ารับงานวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ทั่วโลก ช่วยหนุนผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง
นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI ผู้ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบ และขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองในปัจจุบัน บริษัทฯ มองว่าไม่ได้ส่งผล
กระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในปัจจุบัน และอนาคตของ BJCHI เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานลูกค้ามาจากการเข้ารับงานโครงการในอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จากตลาดต่างประเทศ ทั้งในทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน BJCHI มีรายได้ตามสัญญามาจากตลาดต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าตลาดในประเทศออสเตรเลีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ โดยคาดว่าจะมีโครงการลงทุนดังกล่าวประมาณ 350 โครงการ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนมหาศาลมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในระหว่างปี 2556-2560 จึงเป็นโอกาสที่บริษัทฯ สามารถใช้ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ตลอดจนความพร้อมของสินค้า และบริการทั้งงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปเข้าไปแข่งขันรับงานเพิ่มมูลค่า
น.ส.พัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี กล่าวว่า ด้วยลักษณะของธุรกิจของ BJCHI จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง คู่แข่งน้อยราย การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯ ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,018 ล้านบาท หรือโตกว่า 25% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 952 ล้านบาท หรือโตกว่า 71% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการรับรู้รายได้จากงานประเภท Modularization และเป็นการรับงานตรงจากเจ้าของโครงการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 41% และ 32% ใน 9 เดือนแรกปี 2556 ตามลำดับ โดยเฉพาะในไตรมาส 3 อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 52% และ 45% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ BJCHI
“ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ BJCHI เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักมาจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่เข้าไปแข่งขันรับงานด้านวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักทั่วโลกที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่า หุ้น BJCHI ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างแน่นอน โดยถือเป็นหุ้นน้องใหม่ซึ่งเป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการเมืองในประเทศได้” น.ส.พัชพรกล่าว
ปัจจุบัน BJCHI มีทุนจดทะเบียน 320 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านหุ้น ได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุประสิทธิภาพ
ในการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ อีกทั้งยังจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดิน และโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย ส่วนจำนวนเงินที่เหลือจากจากโครงการลงทุนต่างๆ ทางบริษัทฯ ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป
นายหยัง เจิน ลี กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ BJCHI ผู้ดำเนินธุรกิจวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ตามแบบ และขนาดที่ลูกค้าเป็นผู้กำหนด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองในปัจจุบัน บริษัทฯ มองว่าไม่ได้ส่งผล
กระทบต่อการดำเนินธุรกิจทั้งในปัจจุบัน และอนาคตของ BJCHI เนื่องจากบริษัทฯ มีฐานลูกค้ามาจากการเข้ารับงานโครงการในอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จากตลาดต่างประเทศ ทั้งในทวีปออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง เอเชีย ยุโรป และอเมริกา โดยจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน BJCHI มีรายได้ตามสัญญามาจากตลาดต่างประเทศทั้งหมด ซึ่งตลาดสำคัญอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองว่าตลาดในประเทศออสเตรเลีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง เนื่องจากมีความอุดมสมบูรณ์ด้านทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิดเม็ดเงินลงทุนในโครงการอุตสาหกรรมหนักขนาดใหญ่จำนวนมาก โดยเฉพาะกลุ่มปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และเหมืองแร่ โดยคาดว่าจะมีโครงการลงทุนดังกล่าวประมาณ 350 โครงการ ซึ่งคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนมหาศาลมูลค่ากว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลียในระหว่างปี 2556-2560 จึงเป็นโอกาสที่บริษัทฯ สามารถใช้ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ ตลอดจนความพร้อมของสินค้า และบริการทั้งงานแปรรูปผลิตภัณฑ์เหล็ก งานแปรรูปและประกอบกลุ่มชิ้นงานขนาดใหญ่ งานติดตั้งนอกสถานที่ และงานหล่อชิ้นส่วนคอนกรีตสำเร็จรูปเข้าไปแข่งขันรับงานเพิ่มมูลค่า
น.ส.พัชพร สรรคบุรานุรักษ์ หัวหน้าฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.บีเจซี เฮฟวี่ อินดัสทรี กล่าวว่า ด้วยลักษณะของธุรกิจของ BJCHI จัดอยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการทำกำไรสูง คู่แข่งน้อยราย การแข่งขันด้านราคาไม่รุนแรง จึงส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตโดดเด่นอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นได้จากผลการดำเนินงานในงวด 9 เดือนแรกที่ผ่านมาของบริษัทฯ ซึ่งมีรายได้รวมอยู่ที่ 3,018 ล้านบาท หรือโตกว่า 25% เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 952 ล้านบาท หรือโตกว่า 71% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน โดยเป็นผลมาจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นจากสัดส่วนการรับรู้รายได้จากงานประเภท Modularization และเป็นการรับงานตรงจากเจ้าของโครงการเพิ่มมากขึ้น ขณะที่สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารต่อรายได้รวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเพียงเล็กน้อย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นค่าใช้จ่ายคงที่ จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 41% และ 32% ใน 9 เดือนแรกปี 2556 ตามลำดับ โดยเฉพาะในไตรมาส 3 อัตรากำไรขั้นต้น และอัตรากำไรสุทธิสูงถึง 52% และ 45% ตามลำดับ ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของ BJCHI
“ปัจจัยเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาการเมืองในประเทศที่เกิดขึ้น ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของ BJCHI เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักมาจากตลาดต่างประเทศเป็นหลัก ซึ่งบริษัทฯ มีความพร้อมที่เข้าไปแข่งขันรับงานด้านวิศวกรรมด้านการรับจ้างผลิต และติดตั้งอุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ในกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมหนักทั่วโลกที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้น จึงมั่นใจว่า หุ้น BJCHI ซึ่งจะเข้าทำการซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2556 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนอย่างแน่นอน โดยถือเป็นหุ้นน้องใหม่ซึ่งเป็นอีกทางเลือกให้นักลงทุนที่ต้องการหลีกเลี่ยงความผันผวนทางเศรษฐกิจ และการเมืองในประเทศได้” น.ส.พัชพรกล่าว
ปัจจุบัน BJCHI มีทุนจดทะเบียน 320 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท และมีทุนจดทะเบียนชำระแล้ว 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 240 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท ส่วนที่เหลือ 80 ล้านหุ้น ได้เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) โดยเงินที่ได้จากการขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะใช้เป็นเงินลงทุนในโครงการปรับปรุประสิทธิภาพ
ในการผลิตของบริษัทฯ และลงทุนเพิ่มเติมในเครื่องจักร และอุปกรณ์ต่างๆ นอกจากนี้ ยังมีโครงการก่อสร้างอาคารสำนักงานใหม่ และปรับปรุงพื้นที่ภายในบริษัทฯ อีกทั้งยังจะมีการลงทุนเพิ่มเติมในที่ดิน และโรงงานแห่งใหม่อีกด้วย ส่วนจำนวนเงินที่เหลือจากจากโครงการลงทุนต่างๆ ทางบริษัทฯ ก็จะนำมาเป็นเงินทุนหมุนเวียนต่อไป