xs
xsm
sm
md
lg

ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มฯ ระบุก่อสร้างโต 5% ชี้ปี 57 ปัจจัยลบฉุดตลาดยังโตได้ไม่เต็มที่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการรายวัน - Gyproc เผยอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 56 โต 5% คาดปี 57 ยังทรงตัวเหตุยังมีปัจจัยลบ การขาดแคลนแรงงาน-การเมือง-เงินทุนไหลกลับยุโรป-อเมริกา รับการฟื้นตัวเศรษฐกิจส่งผลอุตสาหกรรมก่อสร้างไม่โตเท่าที่ควร ด้านไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่มฯ ยังโตสอดคล้องตลาดที่ 5%

นายธงชัย กมลพัฒนะ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท ไทยผลิตภัณฑ์ยิบซั่ม จำกัด (มหาชน) ผู้ผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยิปซัมฝ้า และผนัง แบรนด์ Gyproc กล่าวว่า ตลาดรวมก่อสร้างในประเทศปี 56 มีอัตราการขยายตัวตามประมาณการที่ 5% โดยการขยายตัวดังกล่าวมีผลมาจากการลงทุรพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งถือว่าในปีนี้ขยายตัวสูงถึง 15% หรือมีการการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่กว่า 75,000 ยูนิต โดยการขยายตัวดังกล่าวนั้นเป็นการลงทุนในพื้นที่ กทม.กว่า 70% และอีก 30% อยู่ในหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด

ส่วนในปี 57 คาดว่าตลาดก่อสร้างรวมจะยังขยายตัวอยู่ที่ 5% แม้ว่าจะมีโครงการลงทุนก่อสร้างระบบสาธารณูปโภค 2.2 ล้านล้านบาท เนื่องจากในปีหน้ายังมีปัจจัยลบจากการไหลกลับของทุนต่างประเทศ หลังจากเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มกลับมาฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ปัญหาการขาดแคลนแรงงานก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้การขยายตัวของภาคธุรกิจก่อสร้างขยายตัวได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ยังมีปัญหาการเมืองที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจลงทุนโครงการใหม่ๆ ของนักลงทุนด้วย

“หากไม่มีปัจจัยลบจากการขาดแคลนแรงงาน การไหลกลับของทุนต่างประเทศ และปัญหาการเมืองคาดว่าตลาดก่อสร้างในปีหน้าจะสามารถขยายตัวได้สูงถึง 7%”

จากปัจจัยการขาดแคลนแรงงานจะส่งผลดีต่อการเจาะตลาดของกลุ่มผลิตภัณฑ์ผนัง ฝ้าเพดานยิปซัมในตลาดก่อสร้าง และที่อยู่อาสัยได้มากขึ้น เนื่องเป็นกลุ่มวัสดุก่อสร้างระบบแห้งใช้เวลาในการติดตั้งน้อย ช่วยในการประหยัดเวลา และลดต้นทุนการก่อสร้างรวมถึงต้นทุนแรงงาน ช่วยให้งานก่อสร้างเสร็จรวดเร็วกว่างานระบบก่อสร้างแบบเปียกที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน

นายธงชัย กล่าวว่า ตลาดรวมฝ้า ผนัง เพดาน ในปัจจุบันมีกำลังการผลิตรวม 250 ล้านตารางเมตร (ตร.ม) หรือมีมูลค่ารวมประมาณ 5,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีแชร์อยู่ประมาณ 40% ส่วนที่เหลือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่อีก 1 ราย และอีก 3 รายที่เป็นรายย่อยที่ถือแชร์อยู่ในตลาด ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทนั้นในปีนี้มีอัตราการขยายตัวของยอดขายสอดคล้องกับตลาดรวมหรือประมาณ 5%

สำหรับแผนการทำตลาดในปีหน้านั้นจะเน้นการปรับระบบการขายให้สอดคล้องกับการขยายตัวของร้านค่าวัสดุก่อสร้างโมเดิร์นเทรด เช่น โฮมโปร โฮมเวิร์ค ไทยวัสดุก่อสร้าง ดูโฮม โฮมเมก้า ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน ก็จะมีการเปิด Gyproc Center เพิ่ม 1 สาขา และร่วมกับร้านค้าตัวแทนจำหน่ายกว่า 10 ราย ในการพัฒนาโซนพื้นที่ขาย Gyproc จาก 400 ตัวแทนจำหน่าย

นายธงชัย กล่าวว่า เนื่องในโอกาสที่บริษัท ได้ดำเนินกิจการในประเทศไทยครบรอบปีที่ 45 ในปีนี้ จึงมีแผนจะตอกย้ำถึงความสำเร็จในฐานะบริษัทฯ ผู้บุกเบิกวงการผลิตแผ่นยิปซัมเพื่อการพาณิชย์เป็นรายแรกของไทย โดยในปัจจุบัน บริษัทมีร้าน Gyproc Center ทั้งหมด 5 สาขาตามหัวเมืองใหญ่ๆ เช่น ภูเก็ต พัทยา ซึ่งเป็นศูนย์บริการที่ให้คำปรึกษา และจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ยิปซัมจากแบรนด์ยิปรอคของเราอย่างครบวงจร

ส่วนการเปิดตลาดใหม่ๆ นั้น การเกิดเมืองเศรษฐกิจหน้าด่าน AEC ตามชายแดนของประเทศเพื่อนบ้านต่างๆ ขึ้นมาใหม่ ทำให้บริษัทเล็งเห็นโอกาสมากมายในการขยาย และพัฒนาธุรกิจยิปซัมภายในประเทศ และในภูมิภาค ทั้งร้านที่อยู่ในโมเดิร์นเทรด เช่น สยามโกลบอล, ไทยวัสดุ, ดูโฮม, โฮมฮับ ฯลฯ และแบบที่เป็นร้านเดี่ยวแบบ สะแตนด์อะโลน (Stand Alone) ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 400 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเราสามารถครอบคลุมทุกพื้นที่ในทุกจังหวัดของประเทศ และตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยในศูนย์ Gyproc ของเรามีบริการแนะนำสินค้า และให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์โดยพนักงานที่ผ่านการอบรมมาเป็นอย่างดี ช่วยให้ยูสเซอร์ หรือผู้บริโภคที่เป็นเอ็นด์คอนซูมเมอร์ ได้รับความสะดวกสบายในการค้นหาผลิตภัณฑ์ หรือระบบโซลูชันที่เหมาะสมกับการใช้งานในส่วนต่างๆ ของอาคารอย่างตรงจุด โดยเราถือว่าการให้ความรู้ด้านเทคนิค และการสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของเรา เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งยวดกับการต่อยอดความสำเร็จของบริษัทฯ โดยเราจะมุ่งการเผยแพร่ความรู้ไปยังลูกค้า 3 กลุ่ม ได้แก่ 1) กลุ่มนิยมเทรนด์ใหม่ๆ ก่อนใคร (Early Adopter) 2) กลุ่มอาชีพในสายงานตกแต่ง-สถาปัตย์ (Technical Trend Setter) และ 3) กลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Developer)”

“การให้ความสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมก็ถือเป็นประเด็นสำคัญที่ทางบริษัทฯ ไม่เคยมองข้าม เราจึงได้นำหลักปฏิบัติ 3 ประการที่เรียกว่า ‘Gyproc Go Green’ หรือ ‘Gyproc 3G’ ซึ่งเป็นแนวคิดใหม่ของเราที่มุ่งเน้นการคำนึงถึงความปลอดภัยของสุขภาพของพนักงานทุกคนที่ทำงานอยู่ในโรงงานผลิตของเรา รวมไปถึงการช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ประกอบด้วย 1) ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือ Green Products โดยเรามีแผ่นยิปซัม และระบบผนังที่ปลอดสารกัมมันตรังสี และสารที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เช่น แคดเมียม และตะกั่ว รวมทั้งยังผลิตจากวัสดุรีไซเคิลซึ่งเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างน้อย 30 เปอร์เซ็นต์ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ของยิปรอคยังได้รับฉลากเขียว (Green Label) จากการทดสอบโดยสถาบันวิทยาศาสตร์ในประเทศสิงคโปร์ 2) โซลูชันเพื่อการประหยัดพลังงาน หรือ Green Solutions โดยเรามีนวัตกรรมที่มาเพื่อเพิ่มประโยชน์ให้แก่ผู้บริโภคโดยเฉพาะ เช่น การประหยัดพลังงาน การลดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ หรือระบบยิปซัมฟอกอากาศที่ช่วยสร้างความปลอดภัยด้านสุขภาพให้แก่สมาชิกในครอบครัว และ 3) กระบวนการผลิตที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม หรือ Green Manufacturing เราได้ผ่านมาตรฐานรับรองคุณภาพอุตสาหกรรมด้านสิ่งแวดล้อม ISO 14001 Certification โดยมีการใช้ระบบบำบัดน้ำเสีย และมาตรการต่างๆ ในการประหยัดพลังงานกับสายการผลิตทั้งหมดของบริษัทฯ โดยเทคโนโลยีสีเขียวภายในโรงงานผลิตที่โดดเด่นของเราคือ ระบบ Co-Generator System ที่ช่วยแปรพลังงานจากน้ำมันถ่ายเทความร้อนในกระบวนการผลิตให้กลับคืนมาใช้งานได้ใหม่ในรูปของกระแสไฟฟ้าที่ใช้ภายในโรงงาน เป็นต้น” คุณธงชัย กล่าว

นายบุญประทาน ภาสะประหาส ผู้จัดการศูนย์ Gyproc Solution Center สาขาสำนักงานใหญ่ กล่าวถึงไลน์ผลิตภัณฑ์ยิปซัมจากยิปรอคว่า บริษัทฯ ยังคงมีการเสนอไลน์ผลิตภัณฑ์ยิปซัม และโซลูชันระบบผนัง และฝ้าเพดานใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเรามีผลิตภัณฑ์ที่มีความหลากหลาย และเหมาะสมกับการใช้งานด้านต่างๆ ในแบบเฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบัน เราได้มุ่งเน้นการนำเสนอความก้าวหน้าทางนวัตกรรมผ่านทางผลิตภัณฑ์ และโซลูชันระบบยิปซัมที่ช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มในแง่มุมต่างๆ ให้แก่ผู้บริโภค

โดยเรามีผลิตภัณฑ์ไฮไลต์เพื่อรองรับการใช้งานด้านต่างๆ มากมาย ดังนี้ 1) แผ่นยิปซัมกันร้อนชนิดพิเศษ Gyproc ThermaLine® ที่ช่วยป้องกันความร้อนภายในอาคารได้ถึง 5 เท่าเมื่อเทียบกับแผ่นยิปซัมธรรมดาที่มีความหนาเท่ากัน ให้ประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันความร้อนจากภายนอกสู่ภายในอาคาร จึงสามารถประหยัดค่าไฟจากการใช้เครื่องปรับอากาศ และช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศได้อีกทางหนึ่ง

นอกจากนี้ ยังให้ความทนทาน และใช้งานได้นานนับ 10 ปี 2) นวัตกรรมแผ่นยิปซัมฟอกอากาศ Gyproc ACTIV’ Air เป็นนวัตกรรมผนัง และฝ้าเพดานลิขสิทธิ์เฉพาะของยิปรอคที่สามารถลดสารฟอร์มัลดีไฮด์ และสารอินทรีย์ไอระเหย (Volatile Organic Compounds - VOC) ภายในห้องได้โดยการดูดซับเก็บไว้ภายในเนื้อยิปซัม ไม่ส่งผลกระทบที่เป็นอันตรายต่อผู้อยู่อาศัย เหมาะสำหรับการสร้างอากาศที่สะอาด หรือบ้านที่มีสมาชิกเป็นโรคภูมิแพ้ หรือสถานพยาบาล และอาคารต่างๆ ที่ต้องการควบคุมสุขอนามัยที่ดีโดยเฉพาะ เช่น โรงพยาบาล เนิร์สเซอรี่ โรงเรียนอนุบาล ฯลฯ 3) แผ่นฝ้ายิปซัมดูดซับเสียงสะท้อนและลดมลพิษในห้อง Gyptone® ACTIV’ Air ใช้นวัตกรรมที่ช่วยลดปริมาณสารอินทรีย์ไอระเหย (VOC) ที่ระเหยอยู่ภายในห้อง ให้ความทนทานใช้งานได้ถึง 50 ปี ช่วยลดปริมาณสารฟอร์มัลดีไฮด์ได้ถึง 70% ให้ความสวยงามแก่การตกแต่งห้อง และยังช่วยซับเสียงสะท้อนภายในห้องเพื่อคุณภาพการสื่อสารที่ชัดเจนยิ่งขึ้น และ 4) แผ่นยิปซัมชนิดทนแรงกระแทกสูงพิเศษ Gyproc Duraline® เป็นแผ่นยิปซัมที่มีความหนาแน่นสูง มีคุณสมบัติทนแรงกระแทกได้อย่างสมบุกสมบัน กันความร้อน ไม่ลามไฟ ให้ผิวสัมผัสที่เรียบเนียน สวยงาม และสามารถติดตั้งได้สะดวก แผ่นยิปซัมชนิดนี้เหมาะสมกับอาคารสำหรับกีฬาในร่วมต่างๆ เช่น สนามฟุตซอล โรงยิมเนเซียมแบบอินดอร์ สนามยิงปืนภายใน เป็นต้น”

“ตลอด 45 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ของเราได้เติบโตขึ้นเป็นผู้นำนวัตกรรมการผลิตระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซัมทั้งในประเทศ และในระดับภูมิภาค ภายใต้ปรัชญาการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ว่า ‘มุ่งมั่นสร้างสรรค์ยิปซัมเพื่อการตกแต่งภายในที่สร้างแรงบันดาลใจให้แก่ทุกด้านของชีวิต’ (Inspiring Gypsum interiors for every side of life) ซึ่งเป็นเครื่องสะท้อนถึงการเติบโตทางธุรกิจของเราที่ควบคู่ไปกับความใส่ใจในด้านต่างๆ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืนของสังคมไทย เช่น การใช้นวัตกรรมที่มีความก้าวหน้า และมีมาตรฐานสูงสุดในการผลิตแผ่นยิปซัม, การยกระดับความปลอดภัยภายในโรงงาน และสถานปฏิบัติการต่างๆ, การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยปรับปรุงและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีความแปลกใหม่และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างความเจริญเติบโตให้แก่สังคมไทย โดยผลิตภัณฑ์ยิปซัมของเราได้ถูกนำไปใช้ในการก่อสร้างโครงการต่างๆ อันเป็นผลจากแผนการพัฒนาต่างๆ มากมายสำหรับท้องถิ่น และชุมชน เราจึงถือว่าความมุ่งมั่นในด้านคุณภาพ และนวัตกรรมของเรามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมการก่อสร้างระดับประเทศ”
กำลังโหลดความคิดเห็น