หุ้นปิดครึ่งวันเช้าปรับลง 7.84 จุด ตลาดกลับมาให้น้ำหนักการเมืองในประเทศทั้งใน และนอกสภาฯ แนะจับตา 2 ปมร้อน 2 สภาถกคดีเขาพระวิหาร และม็อบอารยะขัดขืนชุมนุมใหญ่ 11 พ.ย. ไล่รัฐบาล จบภายในเดือนนี้ได้หรือไม่
ภาวะตลาดหุ้นไทยวันนี้ (13 พ.ย.) ดัชนีปิดครึ่งวันเช้าที่ระดับ 1,405.24 จุด ลดลง 7.84 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.55% มูลค่าการซื้อขาย 12,786.35 ล้านบาท โดยมีแรงขายนำอย่างโดดเด่นในหุ้นกลุ่มธนาคาร ตามด้วยกลุ่มเทคโนโลยี อสังหาริมทรัพย์ พลังงาน และวัสดุก่อสร้าง ขณะที่มีแรงซื้อในหุ้นกลุ่มอาหาร
นักวิเคราะห์บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองว่า ตลาดยังให้น้ำหนักกับการเมืองภายในประเทศเป็นสำคัญ โดยวันนี้ถือว่ามีความสำคัญทั้งความคืบหน้าในรัฐสภา และนอกสภา ดังนี้ 1.การประชุมร่วม 2 สภา นัดพิเศษวันนี้ แต่เปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการหารือเป็นคดีเขาพระวิหาร แทนประเด็นการเมืองที่มีการเคลื่อนไหวอยู่นอกสภา
2.ดูพัฒนาการนอกสภา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 4 มาตรการที่ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประกาศบนเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คืนวันที่ 11 พ.ย. จะมีกระแสมากน้อยเพียงใด และการนัดหยุดงานวันที่ 13-15 พ.ย.นี้ พร้อมประกาศการเคลื่อนไหวจะต้องได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนนี้
ตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้ส่วนใหญ่อยู่ในแดนลบ โดยเฉพาะตลาดจีน และฮ่องกงที่ติดลบราว 1% หลังการประชุมของจีนยังไม่ชัดเจนในนโยบายเศรษฐกิจ และมีการเกริ่นถึงโอกาสการปล่อยเสรีดอกเบี้ย หากเป็นจริงการแข่งขันจะมากขึ้น ส่งผลให้หุ้นกลุ่มแบงก์ในจีนต่างปรับลง ส่วนตลาดอินโดนีเซีย เช้านี้ปรับตัวลงไปราว 2% หลังจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังรอดูการแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในคืนนี้เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจและแนวโน้มการลดขนาดวงเงินกระตุ้นเศรษฐกิจ (QE) ของสหรัฐฯ
“ตอนนี้ปัจจัยต่างประเทศขาดความชัดเจนทั้งในด้านบวก-ลบ ภาวะการลงทุนตลาดหุ้นไทย อาจมีแนวโน้มฉีกออกจากตลาดหุ้นอื่นๆ ในเอเชียช่วงนี้ ซึ่งประเมินว่าแนวต้าน 1,420-1,425 จุด ยังมีโอกาสที่จะทะลุผ่านขึ้นไปได้ หากสถานการณ์ทางการเมืองทั้งใน และนอกสภาคลี่คลายลงภายในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้”
ดังนั้น แนะนำให้ “ซื้อเก็งกำไร” หุ้น High Beta ที่มีประเด็นบวกช่วงสั้น ไม่ว่าจะเป็นผลการดำเนินงาน หรือความคืบหน้าในการจัดตั้งกองทุน เป็นต้น
