KBANK คาดครึ่งปีหลังหุ้นไทยฟื้นไข้ แต่หวั่นพิษ QE ยังซ้ำแผลเก่า เผยแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปลายปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,400 จุด จากหนี้ NPL ที่เริ่มเพิ่มสูงขึ้น และ พ.ร.บ.เงินกู้ขาดความชัดเจน
นายสุรเดช เกียรติธนากร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานธุรกิจลูกค้าบรรษัทกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าและโครงสร้างพื้นฐาน บมจ.ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBANK กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีหลังนี้มองว่าเป็นจังหวะที่ดีในการที่บริษัทจดทะเบียนจะนำหุ้น IPO เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งมองว่าแนวโน้มดัชนีหุ้นไทยในปลายปีนี้น่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1,400 จุด และคาดว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี แต่อย่างไรก็ดี ในปีหน้ามีความเป็นไปได้ว่าว่าดัชนีอาจจะมีการแกว่งตัวผันผวน จากปัจจัยของความไม่แน่นอนต่อมาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ หรือ QE ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะลดวงเงิน หรือจะถอนออกจากระบบ
“เรื่องของมาตรการ QE ของเฟด ขึ้นอยู่กับว่าจะช้าหรือเร็วยังไงก็ต้องลดขนาดลงแน่นอน ซึ่งมองว่าถ้าไม่มีมาตรการ QE เข้ามาราคาหุ้นในทุกตลาดทั่วโลกจะมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น และเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศจะไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยมากขึ้น”
ทั้งนี้ ในส่วนของความกังวลต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ NPLที่อาจจะเพิ่มมากขึ้นจากค่าครองชีพของประชาชนที่มากขึ้น และส่งผลกระทบต่อภาคครัวเรือนนั้น ทางธนาคารส่วนใหญ่ได้เตรียมหามาตรการเพื่อรองรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น เนื่องจากปํญหาหนี้สูญได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต โดยทั้งนี้ อาจจะต้องรอดูมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาช่วยเหลือประชาชนเพื่อลดปัญหาหนี้ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในอนาคตมากน้อยแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ทิศทางการลงทุนในกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) ในปี 57 มองว่าจะมีความโดดเด่นกว่าในปีนี้อย่างมาก ทั้งในส่วนของผู้ลงทุน และผู้ออกกองทุน เนื่องจากเป็นโครงการที่มีขนาดใหญ่ และมีความต้องการอย่างมากในอนาคต ทั้งในรูปของกองทุนโรงไฟฟ้า กองทุนระบบขนส่ง หรือกองทุนโทรคมนาคม ที่จะเป็นตัวช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจไปในทิศทางบวก และดึงนักลงทุนต่างประเทศเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ขณะที่ในส่วนของ พ.ร.บ.เงินกู้โครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท ที่มีความล่าช้าออกไปนั้น มองว่าจะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติที่ต้องการลงทุนในโครงการนี้จะทำให้สูญเสียโอกาส และจะย้ายฐานเม็ดเงินการลงทุนไปยังประเทศอื่นๆ แทนที่มีความพร้อมมากกว่า และจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่อาจจะมีการชะลอตัวได้