ธปท. ชี้ตลาดเงินอ่อนไหวมากขึ้น ยอมรับคาดการณ์ได้ยากมาก เพราะขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา โดยการตอบสนองของนักลงทุนจะเป็นไปตามข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามากระทบ เตือนรับมือเดือน ธ.ค. ทุนเคลื่อนย้ายใหญ่อีกระลอก ค่าบาทอาจผันผวน มั่นใจตลาดเงินมีพัฒนาการที่ดีพอสมควร สามารถรับแรงกระแทกความผันผวนที่เกิดขึ้นได้ พร้อมแนะติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด พร้อมปรับกลยุทธ์บริหารความเสี่ยง
นางจันทวรรณ สุจริตกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า ต้องติดตามการประชุมของธนาคารกลางสหสรัฐฯ (เฟด) ในเดือนธันวาคม 2556 นี้ ซึ่งเป็นช่วงใกล้วันหยุดเทศกาลคริสต์มาส และเทศกาลปีใหม่ จึงไม่รู้ว่าตลาดเงินจะตอบสนองหรือผันผวนรุนแรงมากเท่าปัจจุบันหรือไม่ ซึ่งคาดการณ์ยาก และการเคลื่อนไหวของตลาดเงินในระยะต่อไปจะอ่อนไหวมากขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมา โดยการตอบสนองของนักลงทุนจะเป็นไปตามข้อมูลต่างๆ ที่เข้ามากระทบ
ทั้งนี้ เห็นได้จากการตอบสนองของนักลงทุนที่หันกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่ค่อนข้างแรง หลังจากที่เฟดคงขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณ (QE) ของสหรัฐฯ ที่ถือว่าเหนือความคาดหมาย อย่างไรก็ตาม ทิศทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีสัญญาณฟื้นตัวขึ้น ดังนั้น สหรัฐฯ ต้องยุติมาตรการ QE อย่างแน่นอน
นางจันทวรรณ กล่าวว่า ตลาดเงินมีการพัฒนามากพอสมควร เชื่อว่าจะรองรับต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ และเชื่อว่าภาคเอกชนได้มีการปรับตัวรองรับความผันผวนของค่างินบาท โดย ธปท. พยายามสนับสนุนให้เอกชนปิดรับความเสี่ยงด้วยการซื้อประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง
ขณะที่สถาบันการเงินมีเครื่องมือที่ช่วยบริหารจัดการความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนมากขึ้น ที่สำคัญ คือ ประเทศอื่น เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์ ก็ประสบปัญหาเช่นเดียวกัน ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงตื่นตัวในการปรับตัว และติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิดขึ้น
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวว่า การที่เฟด คงขนาดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงปริมาณ หรือ QE สร้างความผันผวนให้แก่ตลาดการเงิน ตลาดทุน และตลาดทองคำอย่างมาก เนื่องจากผิดจากการคาดการณ์ของตลาดที่มองว่าเฟดจะลดขนาด QE ลงประมาณ 10,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
กรณีดังกล่าว มีผลทำให้สภาพคล่องในระบบการเงินยังมีอยู่จำนวนมาก และบางส่วนไหลมาลงทุนในประเทศตลาดเกิดใหม่รวมทั้งไทย โดยกลับมาลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงอีกครั้ง ทำให้ราคาหุ้น ราคาทองคำปรับขึ้นทั่วโลก อัตราแลกเปลี่ยนแข็งค่าขึ้น ดอกเบี้ยระยะยาวขยับสูงขึ้น
ทั้งนี้ การปรับขึ้นของราคาสินทรัพย์เสี่ยงจะยาวนานแค่ไหนคงไม่สามารถระบุได้ เพราะเชื่อว่าสหรัฐฯ ต้องลดขนาด และเลิกมาตรการ QE โดยขณะนี้ตลาดจับตามองการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ในเดือนธันวาคมนี้ อาจะเริ่มลดขนาด QE หรืออาจจะเลื่อนเป็นกลางปี 2557 ขึ้นอยู่กับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม ยังมั่นใจว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะฟื้นตัวในปี 2557 ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกของไทยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ทำให้การส่งออกในปีหน้าจะขยายตัวเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5-7 ในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ จากปีนี้ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 2 ช่วยให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือจีดีพีขยายตัวเป็นร้อยละ 4.8 ในปี 2557 จากที่โตร้อยละ 3.8 ในปีนี้