“ศุภวุฒิ” ประเมินรัฐบาลเพิ่มอัตราภาษีแวต 10% เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก เปรียบญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะสูงถึง 230% ของจีดีพี ยังต้องรอถึงวินาทีสุดท้าย แนะยกเลิกโครงการ “รับจำนำข้าว” เป็นทางออกที่ง่ายกว่า เพราะหากเกิดผิดพลาดเก็บภาษีหลุดเป้า รายได้รัฐจะช็อตทันที ระบุการลดภาษีนิติบุคคลเหลือ 20% ฐานภาษีไม่เพิ่ม เพราะส่วนใหญ่เป็น บจ. ในตลาดหุ้น แต่อาจเล็งเก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทต่างชาติใหม่ที่เข้าลงทุนในไทย
นายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร กล่าวถึงแนวคิดของรัฐบาลที่จะเพิ่มอัตราการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) โดยมองว่า เป็นไปได้ยากมากที่รัฐบาลจะเพิ่มการจัดเก็บแวต เพื่อให้มีรายได้ทดแทนรายได้ที่ลดลงจากการลดภาษีนิติบุคคล เพราะนักการเมืองคงไม่กล้า แต่เชื่อว่าภาษีที่รัฐบาลคาดหวังว่าจะเก็บได้เพิ่มขึ้น คือ การเก็บภาษีนิติบุคคลจากบริษัทต่างชาติใหม่ที่ลงทุนในไทย
“ญี่ปุ่นมีหนี้สาธารณะต่อจีดีพี 230% เขายังไม่กล้าขึ้นภาษีแวตเลย จนไปไม่ไหวแล้วเขาก็กัดฟันขึ้นภาษีแวต ส่วนของไทยไม่ต้องพูดถึงหนี้สาธารณะต่อจีพีดีที่ 45% คงไม่มีนักการเมืองคนไหนกล้าเพิ่มภาษีแวต จึงเชื่อว่าการเก็บภาษีแวตที่อัตรา 7% คงเก็บในระดับนี้ไปอีกนาน แต่หากเก็บภาษีที่หวังไว้ไม่ได้ รายได้รัฐบาลจะช็อตทันที”
ส่วนความคิดที่รัฐบาลบอกว่า หากลดภาษีนิติบุคคลลงจาก 30% เหลือ 20% จะทำให้มีคนอยากเลี่ยงภาษีน้อยลงนั้น เชื่อว่าเป็นไปได้ยาก เพราะอย่างปัจจุบันนี้ไทยมีบริษัท 2-3 ล้านแห่ง แต่ภาษีนิติบุคคลส่วนใหญ่มาจากบริษัทขนาดใหญ่ทั้งนั้น และเป็นบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฯ ดังนั้น แม้จะมีการลดภาษีแต่ฐานภาษีจะไม่เพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด นอกจากการปรับเพิ่มภาษีสรรพสามิตเพื่อหารายได้เข้ารัฐแล้ว คือ การยกเลิกโครงการรับจำนำข้าวเปลือก เพราะแต่ละปีรัฐบาลมีภาระปีละ 3 แสนล้านบาท หากเป็นอย่างนี้ทุกปีก็ไม่ไหว ที่สำคัญโครงการรับจำนำข้าวทำให้ไทยมีสต๊อกข้าวจำนวนมาก แต่ถ้าให้เลือกตนเองมองว่า รัฐบาลจะเลิกโครงการรับจำนำข้าย เพราะง่ายกว่าการขึ้นภาษีแวตเป็น 10% อย่างแน่นอน