ผู้บริหารซีไอเอ็มบีไทย รับปรับเกณฑ์ปล่อยกู้รายย่อยเข้มขึ้น ทำสินเชื่อปล่อยใหม่ยอดตก เผยเดือนสิงหาฯ ยอดสินเชื่อใหม่ 2 พันล้าน จากเดือนก่อนหน้า 2.3-2.4 พันล้าน แต่ยังเพิ่มเมื่อเทียบกับช่วงเดียวปีก่อน และยังคงเป้าหมายสินเชื่อเดิม พร้อมติดตามดูยอดเงินฝาก
นายอดิศร เสริมชัยวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย (จำกัด) (มหาชน) (CIMBT)เปิดเผยว่า อัตราการเติบโตด้านเงินฝากของธนาคารของธนาคารในช่วงที่ผ่านมา ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี โดยครึ่งปีแรกมียอดเงินฝากเพิ่มขึ้น 9,000 ล้านบาท และในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา เพิ่มขึ้นถึง 8,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากการที่ธนาคารได้ออกแคมเปญเงินฝาก 12 เดือนดอกเบี้ย 3.4-3.5% สำหรับลูกค้าใหม่ ทำให้สามารถขยายฐานเงินฝากได้ในระดับหนึ่ง
อย่างไรก็ตาม ธนาคารก็ติดตามดูในเรื่องของเงินฝากที่มีแนวโน้มลดลงอยู่ ซึ่งสาเหตุอาจจะไม่ได้มาจากหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นเพียงอย่างเดียว แต่ต้องดูควบคู่กับการลงทุนในกองทุน พันธบัตร หรือหุ้นกู้ต่างๆ ด้วย เพราะผู้ฝากก็อาจจะโยกเงินไปในหลายๆ ผลิตภัณฑ์หากมีผลตอบแทนที่ดีกว่า โดยปัจจุบัน สัดส่วนเงินฝากต่อสินเชื่อของธนาคารอยู่ที่ 90-92% ซึ่งว่าอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้สภาพคล่องไม่ตึงเกินไป
ด้านการปล่อยสินเชื่อรายย่อย 8 เดือน มียอดคงค้างสินเชื่อบ้าน 10,000 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 12,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดคงค้างสินเชื่อบุคคลที่ 4,100 ล้านบาท จากเป้าที่ตั้งไว้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้แน่นอน แต่จะยังไม่มีการปรับเป้าหมายเพิ่ม เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปียังไม่มีความแน่นอนสูง
นอกจากนี้ ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ธนาคารได้มีการเกณฑ์การพิจารณาให้มีความเข้มงวดมากขึ้น เช่น วงเงินการให้สินเชื่อบ้านจากเดิม 90-100% ของราคาประเมิน ปรับลดเป็น 80-90% ของราคาประเมิน รวมถึงวงเงินสินเชื่อบุคคลจากเดิม 5 เท่าของรายได้ ลดลงเป็น 3-5 เท่าของรายได้ตามแนวทางของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงพิจารณาภาระหนี้ที่ลูกค้าต้องชำระเมื่อเทียบกับรายได้ในแต่ละเดือนด้วย
ขณะที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ของสินเชื่อรายย่อยทรงตัวที่ 2% โดยเอ็นพีแอลของสินเชื่อบ้านอยู่ในระดับต่ำกว่า 1% และสินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3% กว่า
นายอดิศร กล่าวอีกว่า สิ่งที่เห็นได้จากการเกณฑ์ที่เข้มงวดก็คือ สินเชื่อปล่อยใหม่ที่ลดลง โดยช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มียอด 2,000 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่มียอด 2,300-2,400 ล้านบาท แต่ก็ยังเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดประมาณ 1,000 ล้านบาท
“เรื่องของหนี้ครัวเรือนเราก็มีความระมัดระวังมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกัน สินเชื่อรายย่อยก็ยังขยายตัวได้อยู่ ซึ่งในส่วนนี้ผมมองว่าแม้ว่าหนี้ครัวเรือนจะเพิ่มขึ้น แต่ในระดับลูกค้าของธนาคารนั้นอยู่ในระดับกลาง ยังเป็นกลุ่มที่มีรายได้เพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ยังมีความสามารถในการกู้ยืมหนี้ได้อยู่”
สำหรับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนั้น น่าจะทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย เนื่องจากหลายๆ ฝ่ายเริ่มกังวลต่อการชะลอตัวของเศรษฐกิจที่มากกว่าคาดการณ์ไว้ ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสที่จะพิจารณาลดดอกเบี้ยลง ซึ่งทางฝ่ายวิจัยของธนาคารประเมินว่าจะลดลงประมาณ 0.25%
