“ก.ล.ต.- ตลท.” ชี้ตลาดหุ้นไทยผันผวนจากปัจจัยภายนอก ยืนยันการตั้งกองทุนพยุงหุ้นยังไม่มีความจำเป็น ย้ำโครงสร้าง ศก.ไทยแข็งแกร่ง แตกต่างจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เชื่อหากภาวะการเงินโลกกลับสู่ปกติ นักลงทุนต่างชาติจะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยเอง
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวภายหลังการหารือร่วมกับ นายวรพล โสคติยานุรักษ์ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ถึงสถานการณ์หุ้นตกในช่วงนี้ โดยระบุว่า ยังไม่มีความจำเป็นที่ต้องจัดตั้งกองทุนพยุงหุ้น หรือมีมาตรการพิเศษดูแลภาวะการซื้อขายหลักทรัพย์
ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยเกิดจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ลดสัดส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นเอเชีย เพราะวิตกกังวลการที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะลดขนาดมาตรการอัดฉีดสภาพคล่อง หรือ QE แต่มีแรงขายออกมาในประเทศกลุ่ม TIP คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มากกว่าประเทศอื่นๆ เนื่องจากมีความกังวลปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด
ดังนั้น ตลท.จะสื่อสารให้ข้อมูลแก่นักลงทุนต่างชาติผ่านทางโบรกเกอร์ต่างชาติ และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ว่า พื้นฐานเศรษฐกิจของไทยยังแข็งแกร่ง แตกต่างจากอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เพื่อให้นักลงทุนต่างชาติเข้าใจในเศรษฐกิจไทยอย่างถูกต้อง
“ยังไม่มีความจำเป็นต้องตั้งกองทุนพยุงหุ้นเพราะมีกลไกดูแลอยู่แล้ว และการปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยมาจากปัจจัยภายนอกที่ทำให้เงินทุนไหลออก ซึ่งที่ผ่านมา ตลท.ได้รายงานภาวะหุ้นตกให้กระทรวงการคลังทราบแล้ว”
ด้าน นายวรพล กล่าวว่า การปรับตัวลดลงของตลาดหุ้นไทยจะเป็นการปรับฐานเพียงชั่วคราว โดยขณะนี้ต่างชาติขายหุ้นไทยออกมามากแล้ว เชื่อว่าเมื่อภาวะการเงินโลกกลับสู่ภาวะปกตินักลงทุนต่างชาติจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทจดทะเบียนไทยมีฐานะมั่นคง อัตราหนี้สินต่อทุนต่ำเพียง 1:27 ผลประกอบการดี ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง พื้นฐานเศรษฐกิจยังไม่เปลี่ยนแปลง และขณะนี้ราคาหุ้นไทยถูกลงมาก มีหุ้นมากกว่า 100 บริษัท ราคาต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องตั้งกองทุนพยุงหุ้น
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้สัดส่วนของนักลงทุนสถาบันในตลาดหุ้นไทยเพิ่มมากขึ้น ซึ่งช่วยสร้างความมั่นคง และสร้างสมดุลให้ตลาดหุ้นไทยได้ ขณะเดียวกัน จำนวนผู้ลงทุนรายย่อยที่ลงทุนในกองทุนรวมหุ้น และกองทุน RMF และ LTF ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งทาง ก.ล.ต. และ ตลท. จะร่วมกันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กองทุนหลังเกษียณอายุเพื่อเป็นทางเลือกให้แก่ผู้เกษียณอายุ