หุ้นภาคบ่ายยืนบวกไม่ไหว แรงขายทำกำไรฉุดดัชนีทรุดปิดลบ 8 จุด คาดกังวลปัญหาส่งออกติดลบ 3 เดือนซ้อน เพิ่มแรงกดดันเศรษฐกิจสู่ภาวะถดถอย ขณะที่ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้าน ส่อถูกลากยาวไปถึงกลางเดือน ก.ย. ก็จะไม่มีประโยชน์แล้ว
ภาวะตลาดหุ้นไทย วันนี้ (26 ส.ค.) ดัชนีภาคบ่ายยังคงแกว่งตัวผันผวน โดยมีแรงขายหนักเป็นระลอกฉุดดัชนีปรับลแดนลบ โดยเมื่อเวลา 16.04 น. ดัชนีปรับลงไปที่ระดับ 1,334.57 จุด ลดลง 3.56 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.27% มูลค่าการซื้อขาย 22,756.99 ล้านบาท ต่อมา เมื่อเวลา 16.26 น. ดัชนีปรับลงไปที่ 1,329.70 จุด ลดลง 8.43 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.63% มูลค่าการซื้อขาย 26,431.04 ล้านบาท
ทั้งนี้ พบว่าแรงเทขายออกมามากหลังการประกาศตัวเลขการส่งออกติดลบต่อเนื่องกัน 3 เดือนซ้อน เป็นการตอกย้ำปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว และส่งผลต่อความวิตกกังวลเรื่องเศรษฐกิจกำลังเข้าสู่ภาวะถดถอยจริง แม้เมื่อช่วงเช้าจะเด้งรับข่าวตลาดผ่อนคลายความวิตกธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) อาจชะลอการประกาศลดขนาดมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน 3 (คิวอี) เนื่อจากตัวเลขบ้านที่ออกมาล่าสุดยังไม่ค่อยดี
นักวิเคราะห์ยอมรับว่า ตลาดหุ้นไทยยังถือมีความเปราะบางในสัปดาห์นี้ และตราบใดก็ตามที่ดัชนียังไม่สามารถกลับมายืนเหนือ 1,390 จุด ดัชนีจะสามารถปรับขึ้นได้แค่ในช่วงสั้น และไม่สามารถวัดผลในระยะกลางได้ เนื่องจากการที่ล่าสุด รัฐสภาได้เลื่อนการพิจารณาประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไป เป็นวันที่ 27-30 ส.ค.56 ซึ่งก็มีความเป็นไปได้ว่าไม่เสร็จสิ้นในช่วงเวลาดังกล่าว
กรณีดังกล่าวส่งผลให้ในเบื้องต้นประเมินว่า กว่าที่ พ.ร.บ.เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 3 จะผ่านการพิจารณาจากสภาจริงๆ อาจต้องรอไปจนถึงวันที่ 17-18 ก.ย.56 ซึ่งถ้าเป็นจริงดัชนีแทบจะไม่ได้ประโยชน์จากประเด็นดังกล่าว เนื่องจากจะตรงกับช่วงเวลาที่คาดว่า เฟด จะประกาศลดขนาดมาตรการคิวอี ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (FOMC) ช่วงเวลาเดียวกัน
ด้านนักวิเคราะห์จาก บล.บัวหลวง มองว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังคงมีแรงกดดันจากปัจจัยเรื่องการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งเป็นผลจากความกังวลจากการลดวงเงินมาตรการคิวอีของสหรัฐ ส่วนในช่วงบ่ายค่อนข้างผันผวน เคลื่อนไหวในแดนลบ หลังจากกระทรวงพาณิชย์ประกาศตัวเลขส่งออกเดือน ก.ค.56 ลดลง ตามการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และอัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
ล่าสุด ดัชนีปิดตลาดที่ระดับ 1,329.18 จุด ลดลง 8.95 จุด หรือเปลี่ยนแปลง -0.67% มูลค่าการซื้อขาย 29,530.67 ล้านบาท