xs
xsm
sm
md
lg

FPI กำไรพุ่ง 46.86% ยอดขายโตครึ่งหลังพุ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“ฟอร์จูนพาร์ท อินดัสตรี้” อวดผลดำเนินงานไตรมาส 2/56 กำไรเพิ่มกว่า 46.86% ผลจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่แล้วเสร็จ ทำให้กำลังการผลิตเพิ่ม 50% ลดต้นทุนลดลง 22.99% ดันยอดขายเพิ่มขึ้นทุบสถิติสูงสุดช่วงเดือนมิถุนายนที่ 191.32 ล้านบาท คาดครึ่้งปีหลังยอดขาย และกำไรโตขึ้น ผู้บริหารแจงจากนี้เดินหน้าธุรกิจอย่างเต็มที่ มุ่งเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ รับกำลังการผลิตเพิ่มด้วยจุดเด่นด้านกระบวนการผลิตที่ครบวงจร และการส่งมอบงานที่รวดเร็ว

นายสมพล ธนาดำรงศักดิ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟอร์จูนพาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI เปิดเผยถึงผลดำเนินงานไตรมาส 2/2556 ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 442.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 16.03 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 47.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ขณะที่ช่วง 6 เดือนแรก มีรายได้รวม 839.55 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.17 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน และกำไรสุทธิ 88.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.86 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการติดตั้งเครื่องจักรใหม่แล้วเสร็จช่วงกลางเดือนพฤษภาคม

“การเพิ่มกำลังผลิตในช่วงไตรมาส 2 ทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 และสามารถลดต้นทุนได้ถึงร้อยละ 22.99 จากยอดขายช่วงไตรมาส 2 ที่เพิ่มขึ้นจาก 90.73 ล้านบาทในเดือนเมษายน เป็น 160.53 ล้านบาท ในเดือนพฤษภาคม และทำสถิติสูงสุด 191.32 ล้านบาท ในเดือนมิถุนายน ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นจาก 3 ล้านบาท ในเดือนเมษายน เป็น 13.1 ล้านบาท ในเดือนพฤษภาคม และทำสถิติสูงสุดในเดือนมิถุนายนกว่า 30.93 ล้านบาท ซึ่งเครื่องจักรที่ติดตั้งแล้วเสร็จสามารถเพิ่มยอดขาย และกำไรขั้นต้นได้ค่อนข้างมาก คาดว่าไตรมาส 3 และ 4 ของปีนี้ จะมียอดขาย และกำไรเติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่มีกำไร 162.5 ล้านบาท”

นายสมพล กล่าวต่อถึงแผนงานในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ว่า จะเน้นการพัฒนาสินค้ารุ่น และโมเดลใหม่ๆ เพื่อรองรับกำลังผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยจะมีการลงทุนในแม่พิมพ์เพิ่มขึ้นอีก100 ล้านบาท จากที่ลงทุนไปแล้ว 50 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก แบ่งเป็นแม่พิมพ์เกาหลีประมาณ 40 ล้านบาท แม่พิมพ์ญี่ปุ่น 40 ล้านบาท และแม่พิมพ์สำหรับอุปกรณ์ตกแต่งอีก 20 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขาย และกำไรในปีนี้เติบโตขึ้นไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20

“FPI มีจุดเด่นที่กระบวนการผลิตด้านพลาสติกที่ครบวงจร ตั้งแต่การออกแบบแม่พิมพ์ ขึ้นรูปแม่พิมพ์ กระบวนการฉีดพลาสติก ชุบพลาสติก พ่นสี 2 K และการประกอบ ซึ่งปัจจุบันในประเทศไทยยังมีบริษัทที่มีกระบวนการผลิตครบค่อนข้างน้อย รวมถึงกระบวนการชุบ LINE AUTOMATIC 2 LINE จากเยอรมนี และญี่ปุ่น ซึ่งการชุบ NICKLE ได้ถึง 4 ชั้น และความหนาถึง 48 MICRON ทำให้ FPI สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพเทียบเท่าบริษัทผู้ผลิต (OEM) และราคาที่แข่งขันได้”

สำหรับรายได้ของบริษัทฯ มาจากสินค้าที่ผลิตขึ้นเอง และซื้อมาขายไป ซึ่งปัจจุบันมีพันธมิตรทางการค้ากว่า 60 รายในประเทศ ทำให้มีสินค้าที่จะป้อนให้แก่ลูกค้าได้กว่า 50,000 รายการ ในลักษณะ One Stop Service สำหรับสินค้าอะไหล่รถยนต์ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการนำเข้าของลูกค้าถูกกว่าคู่แข่ง โดยขณะนี้บริษัทฯ สามารถผลิตสินค้าส่งไปขายต่างประเทศกว่า 115 ประเทศทั่วโลก ซึ่งกว่าร้อยละ 60 มีการทำธุรกรรมทางการค้าร่วมกันเกินกว่า 10 ปีขึ้นไป ทำให้บริษัทมีข้อมูลการตลาด และความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้ามากกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ ตลอดถึงการส่งมอบงานที่รวดเร็ว สามารถส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าในช่วงเวลา 3-21 วัน ภายหลังรับคำสั่งซื้อ โดยคู่แข่งส่วนใหญ่จะใช้เวลา 30-60 วัน

“รายได้หลัก FPI จะเน้นการส่งออกตลาดต่างประเทศ ซึ่งช่วง 6 เดือนแรกปีนี้มีสัดส่วนถึงร้อยละ 87.70 และในประเทศอีกร้อยละ 12.30 ซึ่งสินค้าหลักจะเน้นในส่วนของอะไหล่ทดแทน ที่ผลิตจากพลาสติก Polypropylene เช่น กันชน สเกิร์ต และผลิตจากพลาสติก ABS เช่น หน้ากระจัง ขอบคิ้วประตู ซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 72.49 ของสินค้าที่ผลิตเอง หรือร้อยละ 42.52 ของรายได้รวม การเน้นลงทุนในสินค้ากลุ่มดังกล่าว เนื่องจากสามารถบริหารต้นทุนได้ดี และมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้าได้ค่อนข้างมาก”

โดยช่วงท้ายกล่าวถึงภาพรวมตลาดรถยนต์ประเทศไทยในปีนี้ คาดว่าจะเติบโตประมาณร้อยละ 3-5 จากปีก่อนที่มียอด 2.48 ล้านคัน โดยสถานการณ์การส่งออกอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในช่วงครึ่งปีแรก มีมูลค่า 5,948.15 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 6.02 ขณะที่ FPI มียอดขายช่วงครึ่งปีแรกมูลค่า 839.58 ล้านบาท เนื่องจากมีการลงทุนในแม่พิมพ์ใหม่ๆ โดยเฉพาะตลาด AEC และรถยนต์จากค่ายเกาหลีเพิ่มมากขึ้น ทำให้เจาะตลาดใหม่ๆ ได้มากขึ้น และขยายสายการผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้ากลุ่มเดิมที่มีอยู่แล้ว
กำลังโหลดความคิดเห็น