“ทีเอ็มบี” เผยกลยุทธ์ลูกค้าธุรกิจครึ่งปีหลัง เกาะ 4 เทรนด์หลัก “โครงการรัฐ-ดิจิตอลทีวี-ภูมิภาค-การค้าชายแดน” ขยายฐานลูกค้า-สินเชื่อ ขณะที่ครึ่งปีแรกรายได้ค่าฟีโต 20% รายได้ดอกเบี้ยโต 27% รับสินเชื่อทรงตัว
นายปิติ ตัณฑเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารลูกค้าธุรกิจ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB)เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 56 นี้ ธนาคารจะเน้นการดำเนินธุรกิจเกาะไปกับ 4 เทรนด์หลักๆ ของประเทศในอนาคต ได้แก่ โครงการภาครัฐ ขยายไปยังกลุ่มภูมิภาคที่่มีการเติบโตสูง กลุ่มเทคโนโลยีใหม่ๆ เช่น ดิจิตอลทีวี และการค้าชายแดน ซึ่งธนาคารจะไม่เน้นไปที่รายใหญ่เพียงไม่กี่ราย แต่จะเน้นไปยังซัปพลายเชนที่ต่อเนื่องออกมา ซึ่งจะมีจำนวนที่มากกว่า มีผลตอบแทนที่สูงกว่าด้วย
“4 เทรนด์ที่เราจะยึดไปด้วยกันนั้น เช่น โครงการภาครัฐก็ไม่ได้ไปประมูลจากรัฐ ซึ่งตรงนั้นจะมีแบงก์เฉพาะทำอยู่ แล้วไปสู้กันผลตอบแทนก็ต่ำ แต่เราจะมองที่ภาคเอกชนที่จะรับซัปพลายเชนมาจากตรงนั้นเป็นหลักมากกว่า”
นายปิติ กล่าวอีกว่า ในครึ่งปีหลังนี้จะเร่งการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นจากครึ่งปีแรกที่สินเชื่อรายใหญ่ทรงๆ ตัว เนื่องจากในครึ่งปีแรกธนาคารไปเน้นปรับพอร์ตสินเชื่อให้มีความสมดุลทั้งในส่วนของผลตอบแทน และความยั่งยืนในระยะยาว
สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ธนาคารมีรายได้จากกลุ่มลูกค้าธุรกิจเติบโต 20% โดยรายได้ค่าธรรมเนียมโต 20% และรายได้ดอกเบี้ยโต 27% ส่วนธุรกรรมการค้าระหว่างประเทศเติบโต 305% มีมูลค่าธุรกรรมกว่า 6 แสนล้านบาท เติบโต 50%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะมีมูลค่าธุรกรรมกว่า 1 ล้านบาทในปีนี้
นายปิติ กล่าวอีกว่า แม้ว่าตัวเลขการปล่อยสินเชื่อรายใหญ่ของธนาคารจะแทบไม่ได้เติบโตเลย แต่จะเห็นได้ว่าดอกเบี้ยของธนาคารเติบโตในระดับที่สูง ซึ่งเป็นเพราะเราได้มีการปรับพอร์ตให้มีความสมดุลมากขึ้น จากการปล่อยกู้ลูกค้าขนาดใหญ่ หรือองค์กรของรัฐที่มีมาร์จิ้นต่ำ มาเป็นกลุ่มธุรกิจขนาดกลางที่ให้มาร์จิ้นในระดับที่เหมาะสม และความเสี่ยงที่รับได้ รวมถึงการขยายฐานลูกค้ากลุ่มซัปพลายเชนใหม่ๆ ซึ่งทำให้ได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ธนาคารเน้นมากกว่าปล่อยสินเชื่อเพิ่มเพียงอย่างเดียว
“จากสภาพคล่องที่จะไม่ได้มีมากเหมือนก่อน จะทำให้รูปแบบการปล่อยกู้เปลี่ยนไป จากเดิมที่มีสภาพคล่องมีเยอะ หาง่าย เราอาจจะปล่อยกู้ในอัตราดอกเบี้ยที่ค่อนข้างต่ำเพื่อบริหารสภาพคล่องได้ แต่ช่วงต่อไปสภาพคล่องจะลดลงเรื่อยๆ ขณะที่การลงทุนทั้งภาครัฐ และเอกชนจะเพิ่มขึ้นตามเมกะโปรเจกต์ใหญ่ๆ ทำให้มีความต้องการเงินทุนมากขึ้น ซึ่งเราก็ต้องเลือกในจุดที่ให้ผลตอบแทนที่ดีในความเสี่ยงที่รับด้วย จึงได้มีการปรับพอร์ตในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา”