สรรพากรพื้นที่บางรัก ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม หลังคลังตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงคืนภาษีมูลค่าเพิ่มเท็จมูลค่ากว่า 3 พันล้านบาท งงทำไมต้องตั้งกรรมการสอบซ้ำซ้อนกับดีเอสไอ และเพราะเหตุใดไม่ไปสอบต้นทางที่กรมศุลกากรด้วย
วันนี้ (24 ก.ค.) เวลาประมาณ 10.30 น. ที่กระทรวงการคลัง นายศุภกิจ ริยะการ ผู้อำนวยการ สำนักงานสรรพากรพื้นที่กรุงเทพมหานคร 22 (บางรัก) เปิดเผยว่า ได้เดินทางมายื่นหนังสือต่อนายประสิทธิ์ สืบชนะ ผู้ตรวจราชการ กระทรวงการคลัง ในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เท็จ ให้แก่บริษัทส่งออกกว่า 30 บริษัท มูลค่ารวม 3 พันกว่าล้านบาท เพื่อขอความเป็นธรรมในการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว เพราะที่ผ่านมา ตนได้ให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลมาโดยตลอด ทั้งการให้ปากคำต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ การชี้แจงข้อมูลต่อคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของกรมสรรพากร
“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมในระดับกระทรวงต้องตั้งกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จจริงอีกชุดหนึ่ง และทำไมไม่ไปตรวจค้นที่ต้นทางที่กรมศุลกากร เพราะสรรพากรจะคืน VAT ให้แก่ผู้ประกอบการตามเอกสารหลักฐานที่ยื่นเสนอมา หากจะผิดก็ต้องไปดูที่ต้นทาง เพราะหน้าของสรรพากรเมื่อจะคืนภาษีต้องไปดูสถานที่ประกอบการ ซึ่งตอนไปตรวจก็มีจริง หรือกรณีบ้านเลขที่ที่มีผู้ถือหุ้นอยู่มาก ก็เป็นเรื่องปกติที่มี 500-600 บริษัทที่มีผู้ถือหุ้นโยงกันไปมา รวมถึงการมีสถานที่ประกอบการซ้ำกัน เพราะเป็นเรื่องของการบริหารทางบัญชี จะไปตรวจแค่นั้น และบอกว่าทุจริตก็คงไม่ได้” นายศุภกิจกล่าว
นายศุภกิจ กล่าวว่า การจะตรวจสอบต่อว่ามีการทุจริตการส่งออกด้วยการสำแดงราคาแพงเกินจริง เพื่อขอคืน VATสูงๆ นั้น ก็ไม่ใช่หน้าที่ของสรรพากร สรรพากรจะทำหน้าที่ตรวจสอบระหว่างภาษีซื้อ และภาษีขายให้ได้กำไร หรือว่าส่วนต่างจากราคาซื้อกับราคาขายเท่านั้น เพราะคงไม่มีใครยอมขายขาดทุนแน่ เมื่อจับชนกันแล้วจึงจะคืน VAT ให้ ส่วนพิกัดอัตราภาษีว่า ส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ หรือส่งออกเหล็ก จะเป็นอัตราภาษีเท่าใด รวมถึงว่ามีการส่งออกจริงหรือไม่ ตู้คอนเทนเนอร์ในการส่งออกเป็นของใคร ก็เป็นหน้าที่ของกรมศุลกากร หากเอกสารทุกอย่างครบ และส่งมายังกรมสรรพากร ตรวจแล้วไม่มีอะไรก็ต้องคืน VAT ไป
สำหรับกรณีที่มีข้อถกเกียงกันว่า เป็นการคืน VAT ให้แก่บริษัทจดทะเบียนใหม่ภายใน 1 เดือน นายศุภกิจ กล่าวว่า การจะคืน VAT ให้ภายใน 3 เดือน หรือ 6 เดือนไม่ได้กำหนดไว้ในระเบียบมาตรฐานกลาง เพราะตามเงื่อนไขต่างๆ แต่สุดท้ายของระเบียบก็จะกำหนดให้เป็นดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเมื่อผู้ส่งออกยื่นเอกสารมาครบก็ต้องเร่งคืนให้อยู่แล้ว เพราะผู้ประกอบการเองก็ต้องการสภาพคล่องในการบริหารงานด้วย แต่ระเบียบดังกล่าวก็อยู่ระหว่างการแก้ไขโดยสำนักงานบริหารกลางอยู่แล้ว