xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.เชื่อ ศก.ไทยครึ่งปีหลังไม่เลวร้าย ไม่พบสัญญาณ “หนี้เน่า” ในระบบแบงก์เพิ่ม

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ธปท.เชื่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังไม่เลวร้ายอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล มีเพียงการบริโภคที่ชะลอตัวลง ยันไม่พบสัญญาณ “หนี้เน่า” ในระบบแบงก์เพิ่ม แม้ความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนลดลง ส่วนกรณีสหฟาร์มมีปัญหาสภาพคล่อง ไม่สะเทือนถึงระบบสถาบันการเงิน และเอ็นพีแอลภาคการเงินให้เร่งตัว

นายเกริก วณิกกุล รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงกรณีที่หลายหน่วยงานได้เริ่มปรับลดอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ โดยยืบยันว่า เศรษฐกิจไทยยังไม่มีสัญญาณน่าห่วง และเชื่อว่าเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังจะไม่เลวร้ายอย่างที่หลายฝ่ายวิตกกังวล มีเพียงการบริโภคที่ชะลอตัวลง เนื่องจากผู้บริโภคเก็บออมเพื่อดูสถานการณ์เศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง

ทั้งนี้ ถือเป็นเรื่องที่ดีเพราะปัจจัยที่กระทบต่อเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังยังมีความผันผวน และไม่แน่นอน โดยเฉพาะการประกาศลด และเลิกมาตรการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ หรือมาตรการ QE ของสหรัฐฯ ที่ยังไม่ชัดเจน

ส่วนกรณีที่หลายฝ่ายกังวลปัญหาหนี้เน่าพุ่ง นายเกริก ยืนยันว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่พบสัญญาณหนี้เสียของระบบสถาบันการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นจนน่ากังวลจากปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ของภาคครัวเรือนที่ลดลง อย่างไรก็ตาม หากมองในมุมกลับเชื่อว่า การที่หลายฝ่ายออกมาแสดงความคิดเห็นถึงแนวโน้มภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นส่งผลบวกให้ประชาชนระมัดระวังด้านการบริโภค และเตรียมรับมือกับการใช้จ่ายได้อย่างทันท่วงที

ขณะเดียวกัน ภาคสถาบันการเงินก็พร้อมจะดูแลและปรับตัวในการบริหารจัดการธุรกิจ เช่นเดียวกับการดูแลภาคสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ที่มีความเข้มงวดมากขึ้น ซึ่งธปท. ก็ยังคงติดตามอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ปัจจุบันหนี้เสียของธนาคารพาณิชย์อยู่ที่ไม่เกิน 2.5% ของสินเชื่อที่ได้ปล่อยกู้ไปทั้งหมด

“ความสามารถชำระหนี้ครัวเรือนตอนนี้แม้ลดลง แต่ก็ยังไม่เห็นตัวเลขหนี้เสียแต่กลับรู้สึกว่าไม่ได้เห็นภาพเร็วขนาดนั้น ผมไม่คิดว่าจะมีอะไรมากนอกจากข่าวที่ออกมาว่าการบริโภคที่ลดลง และในยามที่หน่วยงานต่างๆ แจ้งว่าเศรษฐกิจจะแผ่วลงเท่ากับเป็นสัญญาณดีที่ประชาชนจะเก็บออมไว้เพื่อรอดูสถานการณ์ต่อไป ส่วนสินเชื่อบ้านหลังที่ 3 ที่แบงก์คุมมากขึ้น เป็นเรื่องที่ดี ถ้าเขาดูแลดีเราก็ไม่มีอะไรพิเศษ”

ส่วนกรณีบริษัท สหฟาร์ม ประสบปัญหาสภาพคล่องจนหลายฝ่ายกังวลว่าจะก่อให้เกิดปัญหาต่อเสถียรภาพระบบสถาบันการเงินนั้น เชื่อว่าไม่น่าจะกระทบต่อเสถียรภาพสถาบันการเงินเพราะเป็นปัญหาเฉพาะราย และมีวงเงินหนี้เพียง 5,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่มากเมื่อเทียบกับสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบ และเชื่อว่า สหฟาร์ม จะสามารถปรับตัวได้ และหากเกิดเป็นหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือเอ็นพีแอลจริง ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อเอ็นพีแอลทั้งระบบที่อยู่ที่ร้อยละ 2.5 ให้เร่งตัวขึ้นแต่อย่างใด

ส่วนกรณีที่สถาบันการเงินดูแลการปล่อยสินเชื่อบ้านหลังที่ 3 เพื่อป้องกันการเก็งกำไรนั้น ถือเป็นเรื่องที่ดีที่สถาบันการเงินดูแลคุณภาพของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ โดยที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ไม่ได้มีการสั่งการพิเศษแต่อย่างใด

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการสร้างความมั่นคง และอำนวยสะดวกในระบบการชำระเงิน นายเกริก ยังได้ร่วมกับนาย Peter Pang รองผู้ว่าการธนาคารกลางฮ่องกง แถลงข่าวการพัฒนาการเชื่อมโยงระบบบาทเน็ตของไทย และระบบ US Dollar Clearing House Automated Transtem หรือ USD CHATS ของฮ่องกง ซึ่งเป็นการเชื่อมโยงระบบการโอนเงินมูลค่าสูงในลักษณะการชำระดุลในเวลาเดียวกันแบบข้ามแดนด้วยกลไก Paymant-versus-Payment หรือ PvP

ทั้งนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนกรกฎาคม 2557 ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยลดความเสี่ยงของการชำระดุลธุรกรรมซื้อขายเงินบาท และเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่งผลให้คู่สัญญาได้รับเงินตราต่างประเทศที่ทำการซื้อขายในเวลาเดียวกัน และยังสนับสนุนให้ระบบการชำระเงินของไทยมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในการรองรับธุรกรรมซื้อขายเงินตราต่างประเทศ ระหว่างเงินบาท และเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนถึงร้อยละ 85 ของปริมาณธุรกรรมซื้อขายทั้งหมดในประเทศ

โดยมีธุรกรรม 170,000 ล้านบาทต่อเดือน หรือ 40 ล้านล้านบาทต่อปี รวมทั้งยังเป็นการสนันสนุนให้ระบบการชำระเงินพร้อมรองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจการค้าภายใต้การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล
กำลังโหลดความคิดเห็น