กองทุนฟื้นฟูฯ ยันถือ ธ.กรุงไทย สัดส่วน 55.05% ไม่มีการขายเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นลงในเร็วๆ นี้ แต่ถ้าจะมีการขายเกิดขึ้นจริงต้องมีการคุยกับคลังก่อน พร้อมระบุการชำระหนี้เงินต้น 1.6 หมื่นล้าน กอง 1 และกอง 3 เป็นเงินปันผล และผลประโยชน์จากการบริหารจัดการ
นางพวงทิพย์ ปรมาพจน์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายจัดการกองทุน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้จัดการกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (เอฟไอดีเอฟ) เปิดเผยถึงมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2556 ที่มีมติให้กองทุนฟื้นฟูฯ ชำระหนี้เงินต้นของพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ 1 และ 3 จำนวน 16,000 ล้านบาท โดยยืนยันว่า เป็นการใช้เงินจากสภาพคล่องส่วนเกิน ซึ่งเป็นผลประโยชน์ที่รับจากเงินปันผล ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB และบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (บสก.) ประมาณ 4,000 ล้านบาท รวมกับเงินนำส่งจากบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บบส.สุขุมวิท) ในฐานะลูกหนี้อีก 13,000 ล้านบาท มาชำระหนี้เงินต้นดังกล่าว
นางพวงทิพย์ กล่าวต่อว่า กองทุนฟื้นฟูฯ ยังคงถือหุ้นธนาคารกรุงไทย ในสัดส่วน 55.05% ยังไม่มีการขายหุ้นเพื่อลดสัดส่วนการถือหุ้นลงในเร็วๆ นี้ เนื่องจากเป็นหุ้นนโยบายที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ดูแล หากจะมีการขายเกิดขึ้นต้องหารือกับกระทรวงการคลังก่อน ขณะที่หุ้นของ บสก.ได้ว่าจ้างให้บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) 3 แห่ง เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ประกอบด้วย บล.ทรีนีตี้ จำกัด บล.กสิกรไทย จำกัด และ บล.ยูบีเอส (ประเทศไทย) จำกัด โดยในเบื้องต้นคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2557
นางพวงทิพย์ กล่าวถึงส่วนของ บบส.สุขุมวิท โดยยอมรับว่า ยังมีหนี้ที่โอนมาสมัยวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 รวมกับหนี้ที่โอนมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) ที่ปิดตัวลงไปนั้น มีสินทรัพย์ทั้งสิ้นกว่า 300,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถบริหารจัดการได้อีกระยะหนึ่ง โดยทางกองทุนฟื้นฟูฯ ก็มีนโยบายให้ บบส.สุขุมวิท เป็นหน่วยงานที่สามารถสร้างรายได้จากการบริหารสินทรัพย์ได้อย่างต่อเนื่อง และเพื่อรองรับสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
“ขอยืนยันว่า กองทุนฟื้นฟูฯ ยังไม่ได้ขายหุ้นธนาคารกรุงไทย และ บสก. เพื่อนำเงินมาชำระคืนหนี้เงินต้นของกองทุนฟื้นฟูฯ แต่อย่างใด เงินที่ได้มา 16,000 ล้านบาทนั้น มาจากการบริหารจัดการที่ดีของกองทุนฟื้นฟูฯ โดยเป็นเงินที่มาจากผลประโยชน์จากเงินปันผล และการบริหารจัดการหนี้เอ็นพีแอลที่กองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้นอยู่เท่านั้น”
สำหรับหนี้เงินของกองทุนฟื้นฟูฯ ในปัจจุบันยังมีภาระหนี้ทั้งสิ้น 1.128 ล้านล้านบาท ลดลงจาก 1.14 ล้านล้านบาทเล็กน้อย โดยเป็นหนี้ของพันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ 1 จำนวน 450,000 ล้านบาท และหนี้พันธบัตรกองทุนฟื้นฟูฯ 3 อีกจำนวน 670,000 ล้านบาท โดยการชำระหนี้เงินต้นส่วนใหญ่มาจากการบริหารสินทรัพย์ของกองทุนฟื้นฟูฯ เอง เพราะในส่วนของเงินนำส่งจากสถาบันการเงินปีละประมาณ 45,000 ล้านบาทนั้น จะเพียงพอต่อการชำระดอกเบี้ยในแต่ละปี แต่ขณะนี้สถานการณ์ต่างๆ ดีขึ้นมาก จึงคาดว่าจะสามารถชำระหนี้ได้หมดภายใน 23 ปี จากเดิม 25 ปี โดยมีสมมติฐานที่ต้นทุนดอกเบี้ยอยู่ที่ 6% แต่เมื่อมีการประมาณการใหม่ที่ต้นทุนดอกเบี้ยเฉลี่ย 3-4% เท่านั้น
