ฟิทช์ เรทติ้งส์ ให้อันดับเครดิตหุ้นกู้ระยะสั้นของ “ไทยพาณิชย์” ที่ระดับ “F1+(tha)” วงเงินไม่เกิน 5 หมื่นล้าน ระบุเพื่อทดแทนล็อตเก่า และใช้ในการดำเนินธุรกิจ
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) แก่โครงการหุ้นกู้ระยะสั้นประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (SCB) มูลค่ารวมไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ “F1+(tha)” ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของธนาคาร โดยโครงการนี้ใช้เพื่อทดแทนโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิระยะสั้นของธนาคารมูลค่ารวมไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 หุ้นกู้โครงการนี้จะมีอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งจะทำการออกเป็นชุด ภายในระยะเวลา 1 ปี วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการของธนาคาร
อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนการมีเครือข่ายในประเทศที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างเงินกู้ยืม และสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ฐานะเงินกองทุนที่เหมาะสม และความสามารถในการทำกำไรที่ดี ฟิทช์เห็นว่า SCB มีการทำธุรกิจที่ยอมรับความเสี่ยง (risk appetite) สูงที่สุดระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 3 แห่ง โดยพิจารณาจากการเติบโตสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารอีก 2 แห่ง และสูงกว่าอุตสาหกรรม รวมถึงการมีสินเชื่อกับธุรกิจบางแห่งที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ
ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อจะลงมาอยู่ในระดับปานกลาง และไม่เป็นแรงกดดันต่อฐานะเงินกองทุน คุณภาพสินทรัพย์ และสำรองหนี้สงสัยจะสูญมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับเดียวกันกับธนาคารใหญ่ทั้ง 2 แห่ง ทั้งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถในการทำกำไรของ SCB ถือว่ามีความโดดเด่นกว่าธนาคารใหญ่อื่น และน่าจะเป็นส่วนช่วยรองรับความเสี่ยงหากคุณภาพสินทรัพย์มีการถดถอยลงในระดับปานกลาง
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไร หรือเงินกองทุนลดลง ตัวอย่างของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจรวมถึงการเพิ่มระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้จากการเพิ่มระดับการกระจุกตัวของสินเชื่อ และ/หรือ การเติบโตของสินเชื่อในระดับสูงเกินไป โดยที่ความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไม่ได้ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น โดยความสามารถในการรองรับความเสี่ยงอาจสะท้อนจากผลการดำเนินงาน หรือเงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น การที่ฐานะเงินกองทุนลดลง และ/หรือ การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อาจเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร
บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ประกาศให้อันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้น (National Short-Term Rating) แก่โครงการหุ้นกู้ระยะสั้นประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด มหาชน (SCB) มูลค่ารวมไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ที่ระดับ “F1+(tha)” ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันกับอันดับเครดิตภายในประเทศระยะสั้นของธนาคาร โดยโครงการนี้ใช้เพื่อทดแทนโครงการหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิระยะสั้นของธนาคารมูลค่ารวมไม่เกิน 5 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะหมดอายุในวันที่ 15 กรกฎาคม 2556 หุ้นกู้โครงการนี้จะมีอายุไม่เกิน 270 วัน ซึ่งจะทำการออกเป็นชุด ภายในระยะเวลา 1 ปี วัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้เพื่อนำไปใช้ในการดำเนินกิจการของธนาคาร
อันดับเครดิตของ SCB สะท้อนการมีเครือข่ายในประเทศที่แข็งแกร่ง คุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้น โครงสร้างเงินกู้ยืม และสภาพคล่องที่แข็งแกร่ง ฐานะเงินกองทุนที่เหมาะสม และความสามารถในการทำกำไรที่ดี ฟิทช์เห็นว่า SCB มีการทำธุรกิจที่ยอมรับความเสี่ยง (risk appetite) สูงที่สุดระหว่างธนาคารพาณิชย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย 3 แห่ง โดยพิจารณาจากการเติบโตสินเชื่อที่อยู่ในระดับสูงกว่าธนาคารอีก 2 แห่ง และสูงกว่าอุตสาหกรรม รวมถึงการมีสินเชื่อกับธุรกิจบางแห่งที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ
ทั้งนี้ ฟิทช์คาดว่าอัตราการเติบโตของสินเชื่อจะลงมาอยู่ในระดับปานกลาง และไม่เป็นแรงกดดันต่อฐานะเงินกองทุน คุณภาพสินทรัพย์ และสำรองหนี้สงสัยจะสูญมีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับเดียวกันกับธนาคารใหญ่ทั้ง 2 แห่ง ทั้งนี้ ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ความสามารถในการทำกำไรของ SCB ถือว่ามีความโดดเด่นกว่าธนาคารใหญ่อื่น และน่าจะเป็นส่วนช่วยรองรับความเสี่ยงหากคุณภาพสินทรัพย์มีการถดถอยลงในระดับปานกลาง
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอันดับเครดิตอาจเกิดจากการเพิ่มขึ้นของความเสี่ยงในด้านคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ ที่อาจส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไร หรือเงินกองทุนลดลง ตัวอย่างของเหตุการณ์ดังกล่าวอาจรวมถึงการเพิ่มระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้จากการเพิ่มระดับการกระจุกตัวของสินเชื่อ และ/หรือ การเติบโตของสินเชื่อในระดับสูงเกินไป โดยที่ความสามารถในการรองรับความเสี่ยงไม่ได้ปรับตัวแข็งแกร่งขึ้น โดยความสามารถในการรองรับความเสี่ยงอาจสะท้อนจากผลการดำเนินงาน หรือเงินกองทุนที่แข็งแกร่งขึ้น การที่ฐานะเงินกองทุนลดลง และ/หรือ การปรับตัวลดลงของอัตราส่วนสำรองหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ อาจเป็นปัจจัยลบต่ออันดับเครดิตของธนาคาร