xs
xsm
sm
md
lg

บิ๊ก POSTดอดเก็บหุ้น 266 ล. GRAMMY เหลือกู้ลุยดิจิตอลทีวีแค่ 1 พันล.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ผู้ถือหุ้นใหญ่ “โพสต์ พับลิชชิ่ง” ดอดเก็บหุ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่ มี.ค.-มิ.ย. “กลุ่มจิราธิวัฒน์” ใช้เงินไปแล้ว 266 ล้านบาท  ดันโครงการผู้ถือหุ้นใหญ่เปลี่ยนมือ จับตา “แกรมมี่” ทยอยทิ้งอีก 90 ล้านหุ้น พร้อมหุ้นอื่นๆ คาดขายราคาเดิม 8.25 บาท รับเงินเพิ่มอีก บวกเงินขาย “มติชน” และกระแสเงินสดในมือ ทำให้เหลือสัดส่วนกู้ลุยดิจิตอลทีวีประมาณ 1 พันล้านบาท จับตากลุ่ม “วัชรพล”

    จากกรณี บริษัท จีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAMMY ดำเนินการขายหุ้นบริษัท โพสต์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ POST จำนวน 20 ล้านหุ้น หรือสัดส่วน 4% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมด เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.2556 ในราคาเฉลี่ย 8.25 บาท/หุ้น รวมมูลค่า 165 ล้านบาท  ซึ่งผู้ซื้อคือ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ โดยเป็นการได้มาในสัดส่วน 3.5% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมด และทำให้สัดส่วนในการถือหุ้น POST ของนายสุทธิเกียรติ เพิ่มขึ้นเป็น 18.21% จากเดิม 14.71%  ขณะที่ GRAMMY เหลือสัดส่วนการถือหุ้น POST จำนวน 18.13%

    ทั้งนี้ จากข้อมูลของสำนักงานกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)  ในข้อมูลแบบรายงานการเปลี่ยนแปลงการถือหลักทรัพย์ของผู้บริหาร (แบบ 59-2) และแบบรายการได้มา หรือจำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2, แบบ 256-2) พบว่า ในวันที่ GRAMMY ขายหุ้น POST สัดส่วน 4% (28 มิ.ย.) ออกมานั้น นอกจาก นายสุทธิเกียรติ ที่เป็นผู้รับซื้อสูงสุดในสัดส่วน 17.5 ล้านหุ้น หรือมูลค่า 144.375 ล้านบาทแล้ว  ยังมีนายเอกฤทธิ์ บุญปิติ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของ POST ที่คาดว่าเป็นผู้เข้ามาซื้อหุ้นอีก 2.5 ล้านหุ้น หรือ 0.5% ในราคาเดียวกันคิดเป็นมูลค่า 20.625 ล้านบาท

    ที่ผ่านมา นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม ประธานกรรมการบริษัท GRAMMY กล่าวว่า บริษัทเตรียมเข้าประมูลดิจิตอลทีวีในช่วงปลายปีนี้ จำนวน 3 ช่อง ซึ่งตั้งงบลงทุนไว้ 4,000 ล้านบาท ได้ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า GRAMMY มีแผนจะขายทิ้งหุ้นในบริษัทจดทะเบียนอื่นๆ ที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักของบริษัทออกไป เพื่อระดมทุนรองรับธุรกิจใหม่ นอกเหนือจากก่อนหน้านี้ที่ได้ขายหุ้นทั้งหมดของ บมจ.มติชน (MATI) จำนวน 42.388 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 11.09 บาท รวมแล้วมูลค่า 469.94 ล้านบาท ให้แก่ นางสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานกรรมการกลุ่มบริษัท ไทยซัมมิท ออโต พาร์ท อินดัสตรี (ไทยซัมมิท) เมื่อวันที่ 2 ก.ค.56

    โดยภายหลังจากการขายหุ้น POSTครั้งล่าสุด ทำให้ GRAMMY เหลือสัดส่วนถือหุ้น POST อยู่ประมาณ 90 ล้านหุ้น และยังมีหุ้นในบริษัท ซีเอ็ดยูเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SE-ED อีกประมาณ 45 ล้านหุ้น และบริษัท ออฟฟิศเมท จำกัด (มหาชน) หรือ OFM ประมาณ 3.6 ล้านหุ้น
 
    อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจาก ก.ล.ต. ยังทำให้พบว่า การใช้เงินซื้อหุ้น POST ของนายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 6 เดือน โดยก่อนหน้านั้น นายสุทธิเกียรติ ซื้อหุ้น POST จำนวน 6.1 ล้านหุ้น ในราคา 8.25 บาท  มูลค่า 50.325 ล้านบาท เมื่อวันที่ 4 มี.ค.56 ซึ่งมีผลทำให้สัดส่วนการถือหุ้นที่รายงานต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ในช่วงวันที่ 9 พ.ค.56 เพิ่มขึ้นมาเป็น 14.71% และคิดเป็นการลงทุนซื้อหุ้น POST ในรอบ 6 เดือนมูลค่า 194.70 ล้านบาท และในวันที่ 9 มี.ค. นายวรชัย พิจารณ์จิตร อีกหนึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ใช้เงินซื้อหุ้น POST จำนวน 6 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 8.25 บาท รวมมูลค่า 49.50 ล้านบาท

    ขณะที่ นายเอกฤทธิ์ บุญปิติ มีการเข้าทยอยเก็บหุ้น POST อย่างต่อเนื่องในราคาที่แตกต่างกันออกไป และเกิดขึ้นในช่วงที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงหนัก จากการส่งสัญญาณถอนมาตรการ QE3 ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 20 พ.ค. ซื้อ 115,000 หุ้น ราคา 7.39 บาท มูลค่า 849,850 บาท วันที่ 21 พ.ค. 52,200 หุ้น ราคา 7.18 บาท มูลค่า 374,796 บาท วันที่ 22 พ.ค. จำนวน 2,600 หุ้น ราคา 7.10 บาท  มูลค่า 18,460 บาท และวันที่ 29 พ.ค. ซื้อ 50,000 หุ้น หุ้นละ 7.05 บาท รวม 352,500 บาท เมื่อรวมกับครั้งล่าสุด 20.625 ล้านบาท พบว่า นายเอกฤทธิ์ ใช้เงินซื้อหุ้น POST ภายใน 2 เดือน ด้วยมูลค่า 22,220,606 บาท หรือ 2,791,800 หุ้น และหากคิดเป็นเม็ดเงินลงทุนของ 3 ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะมีมูลค่าประมาณ 266.42 ล้านบาท

    สำหรับ GRAMMY ซึ่งยังเหลือการถือหุ้นอยู่ใน POST ประมาณ 90,639 ล้านหุ้นนั้น คาดว่าหากบริษัทจะทยอยขายหุ้นแบบบิ๊กล็อต (Big Lot) นอกกระดาน ในราคาซื้อขายที่สูงกว่าราคาตลาดจนหมดสัดส่วนในการถือหุ้น ภายใต้สมมุติฐาน 8.25 บาท/หุ้น เช่นเดียวกับที่ขายให้นายสิทธิเกียรติ และนายเอกฤทธิ์นั้น จะทำให้ GRAMMY สามารถขายหุ้น POST ที่เหลืออยู่ทั้งหมดได้ในมูลค่า 747.771 ล้านบาท และเมื่อรวมกับการขายครั้งล่าสุด 165 ล้านบาท จะทำให้บริษัทได้เงินจากการขายหุ้น POST ประมาณ 912.771 ล้านบาท จากเงินลงทุนที่GRAMMY ใช้ซื้อหุ้น POST เมื่อ ก.ย.2548 ด้วยมูลค่า 973 ล้านบาท ในสัดส่วนการถือหุ้น 23.60% (แต่ข้อมูลการถือครองหุ้น เมื่อ 9 พ.ค. GRAMMY เหลือสัดส่วนถือ POST ประมาณ22.13%)

แหล่งข่าวกล่าวว่า เม็ดเงินที่ได้จากการขายหุ้น MATI และการขายหุ้น POST ครั้งล่าสุด มีอยู่ประมาณ 634 ล้านบาท และหากขายหุ้นใน POST, OFM และ SE-ED ออกมาทั้งหมด GRAMMY จะมีเงินประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับกระแสเงินสดที่บริษัทมีอยู่กว่า 1,000 ล้านบาท ทำให้คาดว่าการลงทุนในดิจิตอลทีวีของ GRAMMY จะเหลือเงินที่อาจต้องขอกู้จากสถาบันการเงินประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาทเท่านั้น

    “หุ้นบางตัวที่แกรมมี่ถือไม่ได้มีนัยสำคัญ หรือไม่มีอำนาจในการเข้าไปบริหาร ที่ผ่านมา บริษัทได้รับผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล ก็ถือว่าช่วยสร้างกำไรได้ดีในระดับหนึ่งเฉลี่ยกว่า 20 ล้านบาท/ปี อีกทั้งหุ้นที่ถืออยู่หลายตัวก็อยู่ในสถานะหลักทรัพย์เผื่อขาย บางตัวราคาปรับขึ้นมาสูงมากซึ่งจะช่วยสร้างกำไรจากส่วนต่างราคา การระดมทุนดิจิตอลทีวีของบริษัท เชื่อว่าไม่น่าจะมีปัญหา แม้จะไม่ทำการเพิ่มทุนตามที่ผู้บริหารยืนยันไว้ หากขายหุ้นที่ไม่ใช่ธุรกิจหลักเหล่านี้ออกมาช่วยลดต้นทุนในการกู้ยืม ขณะเดียวกัน ต้องดูที่กลุ่มวัชรพล ของไทยรัฐด้วยว่า จาก 2.78% ในอนาคตจะมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางใด”

       
กำลังโหลดความคิดเห็น