แม็คกรุ๊ป หรือ MC ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกาย และไลฟ์สไตล์ พร้อมซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ 4 กรกฎาคมนี้ โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO 12,000 ล้านบาท
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บมจ.แม็คกรุ๊ป (MC) จะเข้าจดทะเบียน และเริ่มซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในกลุ่มบริการ หมวดพาณิชย์ ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2556 โดย MC ดำเนินธุรกิจค้าปลีกเครื่องแต่งกาย และไลฟ์สไตล์ มุ่งเน้นการเป็นผู้บริหารตราสินค้า บริหารการขายและการตลาด ออกแบบ จัดหาผลิตภัณฑ์เพื่อขายโดยมีนโยบายว่าจ้างผู้รับผลิตภายนอกเป็นหลัก รวมถึงการบริหารคลังสินค้าและการกระจายสินค้า ภายใต้เครื่องหมายการค้าของตนเองที่สำคัญ ได้แก่ Mc McLady McPink Bison และ McMini และเครื่องหมายการค้าของบุคคลอื่น ปัจจุบันมีช่องทางการจัดจำหน่ายทั่วประเทศรวม 530 แห่ง และในต่างประเทศรวม 7 แห่ง
สำหรับ MC มีทุนชำระแล้ว 400 ล้านบาท มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม 600 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 200 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 15 บาท มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท เมื่อวันที่ 26-28 มิถุนายน 2556 โดยมี บริษัทหลักทรัพย์ ธนชาต จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
น.ส.สุณี เสรีภาณุ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.แม็คกรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ระดมทุนในครั้งนี้ไปลงทุนขยายธุรกิจ อันได้แก่ การขยายช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า ซึ่งปัจจุบันมีสาขา 537 สาขา และในปี 2559 จะเพิ่มเป็น 751 สาขา ลงทุนการวิจัยและพัฒนาศูนย์ออกแบบ และการเพิ่มประสิทธิภาพผลผลิต ลงทุนในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ศูนย์การกระจายสินค้าใหม่ ชำระคืนเงินกู้ยืมระยะยาวจากธนาคาร ส่วนที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนและขยายธุรกิจในอนาคต
โดย MC มีผู้ถือหุ้นใหญ่ 3 รายแรกหลัง IPO ได้แก่ น.ส.สุณี เสรีภาณุ ถือหุ้น 33.81% นายพิชัย กัญจนาภรณ์ ถือหุ้น 29.08% และนายวิรัช เสรีภาณุ ถือหุ้น 3.75% ทั้งนี้ ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในหนังสือชี้ชวน การกำหนดราคาหุ้น IPO มาจากการสำรวจความต้องการซื้อหลักทรัพย์ของนักลงทุนสถาบัน (Book Building) คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (P/E Ratio) 18.7 เท่า ซึ่งคำนวณมาจากกำไรสุทธิในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ไตรมาส 2 ปี 2555 ถึงไตรมาส 1 ปี 2556) ซึ่งเท่ากับ 640.9 ล้านบาท หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 800 ล้านหุ้น (Fully diluted) จะได้กำไรสุทธิ 0.80 บาทต่อหุ้น บริษัทมีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิของงบการเงินรวมหลังหักสำรองต่างๆ ทุกประเภทที่กฎหมาย และบริษัทกำหนดไว้