บี.ซี.เอฟ.ฯ เดินหน้าสร้างแบรนด์ “ชัวร์-พรีลูด” หวังเข้าถึง และสร้างการรับรู้ในตัวสินค้า พร้อมเร่งขยาย พัฒนาช่องทางการขายปรับพื้นที่บูทจำหน่ายสินค้าในร้านค้าดีลเลอร์ เชื่อผลักดันยอดขายโตกว่าตลาดรวมเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งขายตัวที่ 5-10% หรือมีมูลค่าขายรวมกว่า 560-580 ล้านบาท มั่นใจรายได้โตสวนตลาด15-20%
นายวิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.ซี.เอฟ.กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้แบรนด์ ชัวร์ (SURE) และพรีลูด (Prelude) กล่าวว่า บริษัทดำเนินการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์มากกว่า 40 ปี โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของบริษัท และรับจ้างผลิตหรือ (OEM) ภายใต้แบรนด์สินค้าของพันธมิตรทางการค้า แต่เนื่องจากที่ผ่านมา บี.ซี.เอฟ.ฯ ขาดการทำตลาดถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคโดยตรงรับรู้ และเข้าถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทค่อนข้างน้อย โดยมีเพียง 20% ของผู้บริโภคที่รู้จักแบรนด์ ชัวร์ และพรีลูดอย่างแท้จริง ขณะนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย รวมถึงผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทยกว่า 99% รู้จัก และเข้าถึงแบรนด์ของบริษัทเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตลาด และการทำตลาดในเชิงรุกของบริษัท นับจากนี้ไปจึงมีแผนเร่งสร้างแบรนด์ และสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าของบริษัท และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในตลาดให้มากที่สุด โดยบริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงพืนที่ในร้านค้าดีเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย และชอปจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ของบริษัทในโมเดิร์นเทรด ให้มีรูปแบบที่ชัดเจน และมีเอกลักษณ์ ตลอดจนการตกแต่ง และเข้าไปช่วยบริหารจัดการสินค้าในร้านค้าดีลเลอร์ให้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในการขยายพื้นที่และตลาดของบริษัทนั้นจะไม่เน้นไปที่เปิดโชว์รูมสินค้าแบบสแตนด์อะโลน เพราะจะเป็นการแข่งขันกับดีลเลอร์เอง
“หากมองในแง่การแข่งขันกับรายใหญ่แล้ว บริษัทถือว่ายังมีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก หากมีการขยายช่องทางการขายให้กว้างขึ้น รวมถึงการสร้างแบรนด์ และการมีดีลเลอร์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายตัวได้อีกมาก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายไลน์การผลิต และโรงงานเพิ่มโดยใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่มีกำลังผลิตรวม 600 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 750-800 ล้านบาท”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการออกสินค้าตัวใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าให้มากที่สุด และจากการดำเนินการดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และจดจำในแบรนด์สินค้าของบริษัทได้มากขึ้น และคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20% ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในปีนี้ 5-10%
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 560-570 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มียอดขายรวม 480 ล้านบาท ซึ่งในช่วง5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายของบริษัทถือว่าเติบโตตามเกณฑ์ที่บริษัทตั้งไว้ ปัจจุบัน รายได้ของ บี.ซี.เอฟ.ฯ มาจากการส่งออก 15% และอีก 85% มาจากการจำหน่ายและรับจ้างผลิตเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ ส่วนนี้ยอดขายของตลาดในประเทศแบ่งออกเป็นการขยายผ่านโครงการอสังหาฯ เอกชน ราชการ รัฐวิสาหกิจ 10% การขยายผ่านร้านค้าโมเดิร์นเทรด 30-35% ส่วนที่เหลือ 40% เป็นการขยายผ่านดีลเลอร์
นายวิรัตน์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปี 2556 ว่า แนวโน้มตลาดรวมยังคงขยายตัวได้ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของตัวเศรษฐกิจ หรือ GDP ยังมีการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 5% และยังได้รับปัจจัยบวกจากการขยายการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในปัจจุบัน กลุ่มผู้บริโภคไม่ได้มองว่าเฟอร์นิเจอร์เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่มีไว้ใช้งานเท่านั้น แต่เฟอร์นิเจอร์ยังถูกมองว่าเป็นสินค้าแฟชั่น ที่มีการปรับเปลี่ยนตามกระแสนิยมด้วย ทำให้รูปแบบการใช้เฟอร์นิเจอร์ และอายุการใช้งานเฟอร์นิเจอร์สั้น และมีการเปลี่ยนใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เร็วขึ้น
นายวิรัตน์ โรจยารุณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บี.ซี.เอฟ.กรุ๊ป ผู้ผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ภายใต้แบรนด์ ชัวร์ (SURE) และพรีลูด (Prelude) กล่าวว่า บริษัทดำเนินการผลิตและจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์มากกว่า 40 ปี โดยเป็นการผลิตเพื่อจำหน่ายภายใต้แบรนด์ของบริษัท และรับจ้างผลิตหรือ (OEM) ภายใต้แบรนด์สินค้าของพันธมิตรทางการค้า แต่เนื่องจากที่ผ่านมา บี.ซี.เอฟ.ฯ ขาดการทำตลาดถึงกลุ่มผู้บริโภคอย่างชัดเจน ทำให้ผู้บริโภคโดยตรงรับรู้ และเข้าถึงแบรนด์สินค้าของบริษัทค่อนข้างน้อย โดยมีเพียง 20% ของผู้บริโภคที่รู้จักแบรนด์ ชัวร์ และพรีลูดอย่างแท้จริง ขณะนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ และบริษัทผู้ผลิตและจำหน่าย รวมถึงผู้จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ในประเทศไทยกว่า 99% รู้จัก และเข้าถึงแบรนด์ของบริษัทเป็นอย่างดี
ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตลาด และการทำตลาดในเชิงรุกของบริษัท นับจากนี้ไปจึงมีแผนเร่งสร้างแบรนด์ และสร้างการรับรู้ในตัวสินค้าของบริษัท และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในตลาดให้มากที่สุด โดยบริษัทได้ดำเนินการปรับปรุงพืนที่ในร้านค้าดีเลอร์ หรือตัวแทนจำหน่าย และชอปจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ของบริษัทในโมเดิร์นเทรด ให้มีรูปแบบที่ชัดเจน และมีเอกลักษณ์ ตลอดจนการตกแต่ง และเข้าไปช่วยบริหารจัดการสินค้าในร้านค้าดีลเลอร์ให้ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ในการขยายพื้นที่และตลาดของบริษัทนั้นจะไม่เน้นไปที่เปิดโชว์รูมสินค้าแบบสแตนด์อะโลน เพราะจะเป็นการแข่งขันกับดีลเลอร์เอง
“หากมองในแง่การแข่งขันกับรายใหญ่แล้ว บริษัทถือว่ายังมีโอกาสในการขยายตัวอีกมาก หากมีการขยายช่องทางการขายให้กว้างขึ้น รวมถึงการสร้างแบรนด์ และการมีดีลเลอร์ที่แข็งแกร่งจะช่วยให้บริษัทสามารถขยายตัวได้อีกมาก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายไลน์การผลิต และโรงงานเพิ่มโดยใช้งบประมาณ 100 ล้านบาท ส่งผลให้จากที่มีกำลังผลิตรวม 600 ล้านบาทต่อปี เพิ่มเป็น 750-800 ล้านบาท”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการออกสินค้าตัวใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าให้มากที่สุด และจากการดำเนินการดังกล่าว บริษัทคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อ และจดจำในแบรนด์สินค้าของบริษัทได้มากขึ้น และคาดว่าจะช่วยผลักดันให้ยอดขายของบริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 15-20% ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวสูงกว่าตลาดรวมที่คาดว่าจะมีการขยายตัวในปีนี้ 5-10%
โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 560-570 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วที่มียอดขายรวม 480 ล้านบาท ซึ่งในช่วง5 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายของบริษัทถือว่าเติบโตตามเกณฑ์ที่บริษัทตั้งไว้ ปัจจุบัน รายได้ของ บี.ซี.เอฟ.ฯ มาจากการส่งออก 15% และอีก 85% มาจากการจำหน่ายและรับจ้างผลิตเฟอร์นิเจอร์ในประเทศ ส่วนนี้ยอดขายของตลาดในประเทศแบ่งออกเป็นการขยายผ่านโครงการอสังหาฯ เอกชน ราชการ รัฐวิสาหกิจ 10% การขยายผ่านร้านค้าโมเดิร์นเทรด 30-35% ส่วนที่เหลือ 40% เป็นการขยายผ่านดีลเลอร์
นายวิรัตน์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปี 2556 ว่า แนวโน้มตลาดรวมยังคงขยายตัวได้ดี เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของตัวเศรษฐกิจ หรือ GDP ยังมีการขยายตัวอย่างมีเสถียรภาพ โดยมีอัตราการขยายตัวที่ 5% และยังได้รับปัจจัยบวกจากการขยายการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่เกิดขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ในปัจจุบัน กลุ่มผู้บริโภคไม่ได้มองว่าเฟอร์นิเจอร์เป็นเพียงเฟอร์นิเจอร์ที่มีไว้ใช้งานเท่านั้น แต่เฟอร์นิเจอร์ยังถูกมองว่าเป็นสินค้าแฟชั่น ที่มีการปรับเปลี่ยนตามกระแสนิยมด้วย ทำให้รูปแบบการใช้เฟอร์นิเจอร์ และอายุการใช้งานเฟอร์นิเจอร์สั้น และมีการเปลี่ยนใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เร็วขึ้น