“แอร์โรว์ ซินดิเคท” ปลื้มผลงานไตรมาสแรกไม่ทำให้ผู้ถือหุ้นผิดหวัง ประกาศมีกำไรสุทธิ 32.23 ล้านบาท รับอานิสงส์รายได้จากการขาย และบริการเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของธุรกิจก่อสร้าง อีกทั้งคุมต้นทุน และค่าใช้จ่ายนิ่ง “ธานินทร์” มั่นใจผลงาน Q2 เติบโตไม่แพ้ไตรมาสแรก
นายธานินทร์ ตันประวัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอร์โรว์ ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) หรือ ARROW เปิดเผยถึงทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2556 ของบริษัท และบริษัทย่อยว่ายังเติบโตได้ดีต่อเนื่องจากไตรมาสแรกที่มีกำไรสุทธิ 32.23 ล้านบาท ส่วนรายได้จากการขายและบริการ 214.87 ล้านบาท เนื่องจากภาพรวมของตลาดธุรกิจก่อสร้างมีการขยายตัวมากขึ้น ซึ่งสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับการก่อสร้าง จึงทำให้ยอดขายของบริษัทขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 21.18% ประกอบกับขณะนี้มีใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานผลิตอยู่ในมือแล้วคิดเป็นมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท รวมทั้งโครงการภาครัฐที่เริ่มทยอยส่งสินค้า เช่น รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน คาดว่าจะรับรู้รายได้ในเร็วๆ นี้
“ARROW ถือเป็นหนึ่งเรื่องท่อในอาคารที่ได้เกาะกระแสการเติบโตของธุรกิจก่อสร้างทั้งจากภาครัฐ และเอกชนที่อยู่ในช่วงการขยายตัว ส่งผลให้ผลประกอบการไตรมาสแรกปีนี้ของบริษัทออกมาอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ อีกทั้งยังได้รับความไว้วางใจในการส่งมอบผลิตภัณฑ์ท่อในอาคารจากโครงการต่างๆ จึงทำให้ขยายตัวได้สูงกว่าการเติบโตของธุรกิจก่อสร้างในปัจจุบัน โดยบริษัทจะมุ่งเดินหน้าหางานใหม่ๆ เพิ่มอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มศักยภาพ และสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ธุรกิจ อันจะนำไปสู่การสร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นต่อไปในอนาคต” นายธานินทร์ กล่าว
โดยจากภาพรวมธุรกิจที่เชื่อว่ายังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง ตามใบสั่งซื้อสินค้าที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานผลิต รวมทั้งโครงการภาครัฐที่เริ่มทยอยส่งสินค้า จึงทำให้เชื่อมั่นว่า ผลการดำเนินในปีนี้จะเติบโตได้ตามเป้าหมายที่ประมาณการไว้ที่ 1,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 30% ขณะเดียวกัน ยังเชื่อว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิให้เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10-12% ได้
อย่างไรก็ตาม จากทิศทางของมูลค่าภาคการก่อสร้างที่ยังขยายตัวได้อย่างต่อเนื่องทั้งใน และต่างประเทศ ทำให้ ARROW มุ่งเน้นการสร้างพันธมิตรทางการค้าโดยเฉพาะตัวแทนจำหน่ายในต่างประเทศ รวมทั้งการเจาะตลาดต่างประเทศเพิ่ม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการเติบโตในภาคการส่งออกให้มากกว่า 10-15% จากปัจจุบันสัดส่วนการส่งออกอยู่ที่ประมาณ 7% ซึ่งลดลงจากปีก่อนจากผลกระทบค่าเงินบาท ซึ่งตลาดส่งออกหลักยังมุ่งเน้นประเทศใกล้เคียง เช่น พม่า ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ขณะเดียวกัน ยังเดินหน้ารับงานใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นทั้งจากภาครัฐ และเอกชน