ไตรมาสแรกปี 2556 บจ. SET สร้างสถิติกำไรรายไตรมาสสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 241,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.80% จากงวดเดียวกันปีก่อนหน้า ด้วยยอดขาย และความสามารถในการทำกำไรเพิ่มขึ้น ธุรกิจการเงิน และการผลิตสำหรับการบริโภคมียอดขายและกำไรโตโดดเด่น
นายชนิตร ชาญชัยณรงค์ รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) จำนวน 448 บริษัท หรือ 92.18% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมด 486 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่ม NC และ NPG) ได้นำส่งผลการดำเนินงานงวดสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2556 แล้ว โดยมี บจ. ที่มีกำไรสุทธิจากผลการดำเนินงานจำนวน 381 บริษัท คิดเป็น 85.04% ของบริษัทจดทะเบียนที่นำส่งงบการเงินทั้งหมด โดยยอดขายไตรมาสแรกปีนี้อยู่ที่ 2,632,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.88% จากงวดเดียวกันปีที่แล้ว ส่วนกำไรสุทธิอยู่ที่ 241,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.80% อัตรากำไรขั้นต้น 18.26% จาก 17.57% ในปีที่แล้ว และอัตรากำไรสุทธิเท่ากับ 9.18% จาก 8.53% ด้านอัตราส่วนหนี้สินรวมต่อทุน (ไม่รวมอุตสาหกรรมการเงิน) อยู่ที่ 1.29 เท่า
“กำไรสุทธิที่เติบโตสูงแสดงถึงความสามารถในการบริหารต้นทุนขายที่ดี ภาคธุรกิจที่มีความโดดเด่นได้แก่ บจ.ในภาคการเงิน และการผลิตที่เติบโตดี เนื่องจากสินเชื่อภาคธุรกิจและครัวเรือนที่ขยายตัว ดัชนีและมูลค่าการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหุ้นไทยที่เพิ่มขึ้นสูง และทิศทางของธุรกิจประกันภัยที่ดีขึ้นจากรายได้เบี้ยประกันภัยและการลงทุน ขณะที่ผลกระทบจากน้ำท่วมลดลง ส่วนผลการดำเนินงานของ บจ. ในภาคการผลิตโดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคในประเทศมียอดขาย และกำไรเติบโตโดดเด่น ได้แก่ พาณิชย์ ยานยนต์ วัสดุก่อสร้าง เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร และการแพทย์
นอกจากนี้ ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยมีผลการดำเนินงานดีขึ้น และมีทิศทางเติบโตดีต่อเนื่องจากมูลค่างานรอส่งมอบ (Backlog) อยู่ในระดับสูง ส่วนธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์มีทิศทางดีขึ้น แม้จะยังมีแรงกดดันจากค่าแรงขั้นต่ำ การแข็งค่าของเงินบาท และเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลต่อผลการดำเนินงานของธุรกิจในหมวดการเกษตร อาหารและเครื่องดื่ม แฟชั่น และของใช้ในครัวเรือนและสำนักงาน ด้วย” นายชนิตรกล่าว
สำหรับบริษัทจดทะเบียนที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 5 อันดับแรก คือ บมจ.ปตท. (PTT) บมจ.ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP) บมจ.ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) และ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย (KBANK)
โดยกลุ่มอุตสาหกรรม 3 อันดับแรกจาก 8 กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสูงสุด ได้แก่ ทรัพยากร ธุรกิจการเงิน และบริการ
ส่วนหมวดธุรกิจที่มีกำไร สูงสุด 3 อันดับแรก จาก 27 หมวดธุรกิจ ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค ธนาคาร และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร โดยทั้ง 3 หมวดมีกำไรสุทธิรวม 144,377 ล้านบาท คิดเป็น 59.76% ของกำไรสุทธิรวมทั้งหมด และยอดขายรวมของทั้ง 3 หมวดคิดเป็น 55.12% ของยอดขายรวมทั้งหมด