แบงก์เกียรตินาคิน เผยแผนหลังปรับโครงสร้างรับควบรวม ผนึกธุรกิจตลาดเงิน-ตลาดทุน เตรียมเปิดซื้อขายตราสารหนี้ อนุพันธ์ เงินตราต่างประเทศเป็นหลัก พร้อมยืนเป้าสินเชื่อปีนี้โต 19% ชะลอลงเหตุไร้ปัจจัยหนุนพิเศษ
นายสุพล วัธนเวคิน ประธานกรรมการ ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)(KK)เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ธนาคารเกียรตินาคินได้ควบรวมกับบริษัททุนภัทรเสร็จสิ้นตั้งแต่ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ทางกลุ่มได้ปรับโครงสร้าง และวางแนวทางการดำเนินธุรกิจของกลุ่ม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ใช้ศักยภาพของกลุ่ม ทั้งบุคลากร ฐานเงินทุน และใบอนุญาตการประกอบธุรกิจให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งในส่วนของธุรกิจธนาคารพาณิชย์ และธุรกิจตลาดทุน
นายอภินันท์ เกลียวปฏินนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานธุรกิจธนาคารพาณิชย์ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจของกลุ่มตลาดเงินภายหลังการควบรวมนั้น สิ่งที่ทำได้ทันที ก็คือ การใช้ฐานลูกค้าร่วมกัน เช่น กลุ่มลูกค้าบุคคลธนกิจของธนาคาร ก็จะมีส่วนการลงทุนของกลุ่มภัทรเข้ามาเพิ่มเติม เป็นต้น และในส่วนที่่จะทำในอนาคตก็เป็นการเปิดซื้อขายตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และซื้อขายเงินตราต่างประเทศ
นอกจากนี้ จากการควบรวมดังกล่าวจะเป็นการสร้างสมดุลในการทำธุรกิจ มีการกระจายตัวของรายได้เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน โดยสัดส่วนรายได้ของกลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคิน เป็นรายได้จากดอกเบี้ย 8,000 ล้านบาท และเป็นรายได้จากค่าธรรมเนียม และตลาดทุนรวมกันประมาณ 7,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าสัดส่วนเกือบ 50:50
อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกหลายอย่างที่ธนาคารจะยังต้องปรับเปลี่ยน เช่น โครงสร้างเงินฝาก ซึ่งปัจจุบันยังเป็นเงินฝากรายใหญ่ (ยอดเงินฝาก 10 ล้านบาทขึ้นไป) ถึง 70% ส่วนด้านการระดมเงินทุนนอกจากเงินฝากแล้ว ธนาคารก็มีการออกตราสารอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการปรับต้นทุนให้อยู่ในระดับที่ต่ำลง ซึ่งในปีนี้ได้ขออนุมัติออกตราสารไว้ 75,000 ล้านบาท ก็จะทยอยออกตามความเหมาะสมต่อไป
สำหรับในไตรมาสแรก การดำเนินธุรกิจของธนาคารพาณิชย์ก็ยังเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สินเชื่อรวมเติบโต 9-10% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ 19% โดยสินเชื่อเช่าซื้อเติบโต 4% จากเป้าหมาย 15% และสินเชื่อธุรกิจเอสเอ็มอี และสินเชื่อขนาดใหญ่ตั้งเป้าเติบโต 30% ซึ่งการตั้งเป้าสินเชื่อเติบโตลดลงจากปีก่อน เนื่องจากในช่วงปี 2555 มีแรงส่งจากโครงการรถคันแรก และโครงสร้างพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร 70% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถ
