กำไรโบรกฯ ไตรมาส 1/56 พุ่งกระฉูด ทุกบริษัทโตกว่าเท่าตัว จากค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นตามดัชนี และวอลุ่มซื้อที่เพิ่มขึ้นมาก อีกทั้งยังรับรู้กำไรจากพอร์ตลงทุน รวมทั้งรายได้จากมาร์จิ้นโลน และ SBL คาดไตรมาส 2 ยังเติบโตแต่ลดลง
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งว่า หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ได้ทยอยประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1/56 แล้ว 7 บริษัท จากทั้งหมด 11 บริษัท ที่ทำการซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ ทั้งนี้ โดยรวมพบว่าทุกแห่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ทั้งสิ้น
โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/56 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะตลาดที่ดี ทำให้ยอดปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้นกว่า 115% จาก 26,886 ล้านบาท จากไตรมาส 1/55 เป็น 57,928 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (พอร์ตลงทุน) และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งยังรับรู้ดอกเบี้ยจากเงินที่ให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
เริ่มที่ บล.เอเซีย พลัส (ASP) มีกำไรสุทธิ 394.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% จาก 173.26 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/55 ตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ถัดมา บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/56 จำนวน 157.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308.57% จากงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 38.50 บาท
บล.ซีมิโก้ (ZMICO) มีกำไรสุทธิ 79.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 642.93% จากไตรมาส 1/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ระดับ 10.74 ล้านบาท บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) มีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184.32% จากงวดเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 189.58 ล้านบาท บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) มีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184% จากไตรมาส 1/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท และ บล.โอเอสเค (ประเทศไทย) (OSK) มีกำไรสุทธิ 12.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2555 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 9.72 ล้านบาท
ส่วน บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บล.ธนชาติ (TNS) บล.ยูไนเต็ด (US) และ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) ยังไม่มีการประกาศผลดำเนินงาน
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า ในช่วงเกือบ 3 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถทำรายได้เกือบทะลุเป้าหมายที่ได้วางไว้เติบโตเพิ่ม 10% จากปีก่อนแล้ว เนื่องจากวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันเติบโตมากกว่า 50,000 ล้านบาท และเคยสร้างสถิติสูงสุดถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาทต่อวันหลายเท่า ซึ่งส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตขึ้น และคาดว่าทุกบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
“ปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้รายได้ด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของโบรกเกอร์แต่ละแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากธุรกรรมอืนๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น พอร์ตลงทุนของบริษัท โดยในส่วนของ CGS ไม่ได้มีการเพิ่มวงเงินลงทุนในพอร์ต แต่กำไรที่ได้รับจากการลงทุนก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามดัชนีหุ้นที่ขึ้นมามากจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา”
ทั้งนี้ ประเมินว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาอาจเป็นจุดสูงสุดในด้านผลดำเนินงานของกลุ่มโบรกเกอร์ในปีนี้ โดยในไตรมาส 2 ประเมินว่ายังปรับตัวไปได้ด้วยดีสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่จะไม่ร้อนแรงเท่ากับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา รวมทั้งเชื่อว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง จึงเป็นผลให้ผลดำเนินงานของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมามาก
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า รายได้ไตรมาส 1 ของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีนี้จะดีเกินคาด และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ จากอานิสงส์ของสภาพคล่องในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงหลัง จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้หนุนให้ไตรมาส 1/56 ตลาดหุ้นไทยมีวอลุ่มซื้อขาย (รวม Prop. trade) เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 6.43 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 106% จากปีก่อน
อีกทั้งภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรง ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนสิ้นสุดเดือน มี.ค.56 SET Index ปรับตัวขึ้น 12.2% จากสิ้นปี 2555 และหนุนให้มีกำไรสุทธิจากพอร์ตลงทุน เพิ่มขึ้น จึงอาจต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2556 ของกลุ่มหลักทรัพย์ โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มวอลุ่มปี 2556 และปรับเพิ่มกำไรจากพอร์ตลงทุน เพราะเชื่อว่าด้วยศักยภาพของตลาดหุ้นไทยที่ยังมีพื้นฐานดี โดยส่วนใหญ่บริษัทจดทะเบียนยังมีผลกำไรที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งจากการประกอบธุรกิจตามปกติ และจากอัตราภาษีที่ลดเหลือ 20% ซึ่งจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถทำ New high
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์ฯ แจ้งว่า หุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ได้ทยอยประกาศผลดำเนินงานประจำไตรมาส 1/56 แล้ว 7 บริษัท จากทั้งหมด 11 บริษัท ที่ทำการซื้อขายในกระดานหลักทรัพย์ ทั้งนี้ โดยรวมพบว่าทุกแห่งมีกำไรสุทธิจากการดำเนินงานเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ทั้งสิ้น
โดยมีสาเหตุหลักมาจากรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ในไตรมาส 1/56 ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามภาวะตลาดที่ดี ทำให้ยอดปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์เฉลี่ยต่อวันของตลาดหลักทรัพย์ฯ เพิ่มขึ้นกว่า 115% จาก 26,886 ล้านบาท จากไตรมาส 1/55 เป็น 57,928 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ยังมีรายได้จากค่าธรรมเนียม และบริการที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งกำไรจากการซื้อขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์ (พอร์ตลงทุน) และรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้าที่เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกัน อีกทั้งยังรับรู้ดอกเบี้ยจากเงินที่ให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นด้วย
เริ่มที่ บล.เอเซีย พลัส (ASP) มีกำไรสุทธิ 394.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 128% จาก 173.26 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 1/55 ตามสภาวะตลาดหลักทรัพย์ฯ ถัดมา บล.โนมูระ พัฒนสิน (CNS) มีกำไรสุทธิไตรมาส 1/56 จำนวน 157.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 308.57% จากงวดเดียวกันในปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 38.50 บาท
บล.ซีมิโก้ (ZMICO) มีกำไรสุทธิ 79.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 642.93% จากไตรมาส 1/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิที่ระดับ 10.74 ล้านบาท บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) มีกำไรสุทธิ 539 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184.32% จากงวดเดียวกันในปีก่อน ซึ่งมีกำไรสุทธิ 189.58 ล้านบาท บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) (KGI) มีกำไรสุทธิ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 184% จากไตรมาส 1/55 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 106 ล้านบาท และ บล.โอเอสเค (ประเทศไทย) (OSK) มีกำไรสุทธิ 12.99 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปี 2555 ซึ่งขาดทุนสุทธิ 9.72 ล้านบาท
ส่วน บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) บล.ฟินันเซีย ไซรัส (FSS) บล.ธนชาติ (TNS) บล.ยูไนเต็ด (US) และ บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) ยังไม่มีการประกาศผลดำเนินงาน
นายประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS เปิดเผยว่า ในช่วงเกือบ 3 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ สามารถทำรายได้เกือบทะลุเป้าหมายที่ได้วางไว้เติบโตเพิ่ม 10% จากปีก่อนแล้ว เนื่องจากวอลุ่มเทรดเฉลี่ยต่อวันเติบโตมากกว่า 50,000 ล้านบาท และเคยสร้างสถิติสูงสุดถึง 100,000 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ในระดับเฉลี่ย 3 หมื่นล้านบาทต่อวันหลายเท่า ซึ่งส่งผลให้รายได้ของบริษัทฯ เติบโตขึ้น และคาดว่าทุกบริษัทหลักทรัพย์จะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
“ปริมาณซื้อขายที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้รายได้ด้านนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ของโบรกเกอร์แต่ละแห่งปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งรายได้จากธุรกรรมอืนๆ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น เช่น พอร์ตลงทุนของบริษัท โดยในส่วนของ CGS ไม่ได้มีการเพิ่มวงเงินลงทุนในพอร์ต แต่กำไรที่ได้รับจากการลงทุนก็ปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามดัชนีหุ้นที่ขึ้นมามากจากช่วงปลายปีที่ผ่านมา”
ทั้งนี้ ประเมินว่าไตรมาสแรกที่ผ่านมาอาจเป็นจุดสูงสุดในด้านผลดำเนินงานของกลุ่มโบรกเกอร์ในปีนี้ โดยในไตรมาส 2 ประเมินว่ายังปรับตัวไปได้ด้วยดีสูงขึ้นกว่าช่วงเดียวกันในปีก่อน แต่จะไม่ร้อนแรงเท่ากับไตรมาส 1 ที่ผ่านมา รวมทั้งเชื่อว่าจะต่อเนื่องไปจนถึงครึ่งปีหลัง จึงเป็นผลให้ผลดำเนินงานของกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์ในปีนี้ดีกว่าปีที่ผ่านมามาก
บล.ทรีนีตี้ ระบุว่า รายได้ไตรมาส 1 ของหุ้นกลุ่มหลักทรัพย์ปีนี้จะดีเกินคาด และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยมีปัจจัยหนุนหลักๆ จากอานิสงส์ของสภาพคล่องในตลาดโลกที่อยู่ในระดับสูงหลัง จากที่ธนาคารกลางทั่วโลกยังคงใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ได้หนุนให้ไตรมาส 1/56 ตลาดหุ้นไทยมีวอลุ่มซื้อขาย (รวม Prop. trade) เฉลี่ยอยู่ที่วันละ 6.43 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 106% จากปีก่อน
อีกทั้งภาวะตลาดหุ้นที่ปรับตัวขึ้นร้อนแรง ส่งผลให้ตั้งแต่ต้นปีจนสิ้นสุดเดือน มี.ค.56 SET Index ปรับตัวขึ้น 12.2% จากสิ้นปี 2555 และหนุนให้มีกำไรสุทธิจากพอร์ตลงทุน เพิ่มขึ้น จึงอาจต้องปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2556 ของกลุ่มหลักทรัพย์ โดยสาเหตุหลักมาจากการปรับเพิ่มวอลุ่มปี 2556 และปรับเพิ่มกำไรจากพอร์ตลงทุน เพราะเชื่อว่าด้วยศักยภาพของตลาดหุ้นไทยที่ยังมีพื้นฐานดี โดยส่วนใหญ่บริษัทจดทะเบียนยังมีผลกำไรที่เติบโตได้ต่อเนื่อง ทั้งจากการประกอบธุรกิจตามปกติ และจากอัตราภาษีที่ลดเหลือ 20% ซึ่งจะทำให้ดัชนีหุ้นไทยสามารถทำ New high