“ทีอาร์ซี คอนสตรักชั่น” มั่นใจทั้งปีโตเพิ่มไม่น้อยกว่า 10% จากการรับรู้งานในมือกว่า 2 พันล้าน และเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มอีกกว่า 3-4 หมื่นล้านบาท 24 เม.ย. รุกขออนุมัติผู้ถือหุ้นทั้งเพิ่มทุน จ่ายปันผล และขายหุ้นเพิ่มทุน อีกทั้งแตกพาร์เหลือ 50 สต. เพื่อระดมทุนรับงานใหญ่ แย้มเจรจาพันธมิตรต่างประเทศเข้าร่วมประมูลรถไฟรางคู่
รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ถึงกรณี บมจ.ทีอาร์ซี คอนสตรักชั่น (TRC) ทำการย้ายจากตลาด mai เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ (SET) เป็นวันแรก (23 เม.ย.) ว่า โดยทันที่เปิดตลาด ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 15.20 บาท เพิ่มขึ้น 0.5 บาทหรือ 3.40% จากราคา 14.70 บาท
นายสมัย ลี้สกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TRC แสดงถึงความมั่นใจว่า การย้ายเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะทำให้บริษัทจะมีศักยภาพในการเติบโตที่ดีขึ้น และมีโอกาสที่จะแข่งขันในการประมูลงานได้มากขึ้น
ทั้งนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้และกำไรในปี 56 เพิ่มขึ้นจากเดิม 5% และไม่ต่ำกว่า 10% โดยขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (backlog) ประมาณ 3 พันล้านบาท และคาดว่าจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้ไม่ต่ำกว่า 2 พันล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเข้าประมูลงานเพิ่มเติมอีก 3-4 หมื่นล้านบาท โดยในปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคมนี้ จะประมูลงานเพิ่มจากปีที่แล้วซึ่งคาดว่าจะได้ประมาณ 4,200 ล้านบาท เพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับเขตการค้าเสรีอาเซียนปี 2558 ที่กำลังจะมาถึง
พร้อมกันนี้ บริษัทได้เตรียมขออนุมัติจากผู้ถือหุ้น ในการประชุมผู้ถือหุ้นวันที่ 24 เม.ย. เพื่อระดมทุนด้วยการแตกพาร์จากราคา 1.0 บาท เป็น 0.5 บาท (หรือ 0.26 บาท/หุ้น ณ พาร์ 1 บาท) เพื่อเพิ่มจำนวนหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ให้มากขึ้น และขออนุมัติเพิ่มทุนจดทะเบียนรวม 88.93 ล้านบาท เพื่อการจ่ายปันผลในอัตรา 6 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ อีกทั้งเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อผู้ถือหุ้นเดิม ในอัตรา 20 หุ้นเดิมต่อ 1 ใหม่ ในราคาหุ้นล่ะ 2.50 บาท รวมทั้งออกใบแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ และพนักงานหรือ ESOP-W2
นอกเหนือจากนี้ บริษัทยังได้วางแผนโรดโชว์ไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อเสริมความเชื่อมั่นนักลงทุนได้เห็นถึงความมั่นคงของบริษัท เมื่อเทียบกับกลุ่มบริษัทที่ประกอบธุรกิจในประเภทเดียวกัน ว่า มีการปรับฐานตัวเองไม่ให้น้อยกว่าคู่แข่ง ซึ่งตลอด 8 ปีที่เข้าจดทะเบียนในตลาด mai บริษัทได้เติบโตแบบก้าวกระโดดจากธุรกิจผู้รับเหมารายย่อย ก้าวขึ้นเป็นผู้รับเหมารายใหญ่ในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม จากโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนาดใหญ่ (infrastructure) ของรัฐบาลมูลค่า 2.2 ล้านล้านบาท บริษัทฯ ได้เตรียมเข้าร่วมประมูลงานบางส่วนด้วย โดยคาดว่าจะมีโอกาสได้งาน 700-800 ล้านเหรียญสหรัฐหรือ 40% ซึ่งจะเน้นงานด้านการขนส่งระบบท่อ และการแปรรูปปิโตรเคมี เป็นหลัก นอกเหนือจากนั้น จะร่วมประมูลโครงการวางท่อก๊าส มูลค่า 9,000 พันล้านบาท โดยบริษัทได้เจรจาร่วมกันกับบริษัทพันธมิตรต่างประเทศ แต่ยังไม่ได้ข้อสรุป
