สภาธุรกิจตลาดทุนไทยจี้รัฐ เร่งรัฐบาลุยรัฐต่อรัฐกับสหรัฐฯ รับมือมาตรการ FATCA ป้องกันนักลงทุนสหรัฐฯ เบี้ยวภาษีชาติตนเอง ชี้เอกชนดำเนินการเองลำบาก ขั้นตอนเยอะ ด้าน บล.เอเซีย พลัส มองการเก็งกำไรหุ้นกลาง-เล็กยังมากอยู่ แนะจัดสรรเงินลงทุนเข้าเทรดแค่ 20-30% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือทยอยช้อนตอนราคาร่วง เพื่อได้หุ้นดีในราคาที่เหมาะสม
นายไพบูลย์ นลินทรางกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.ทิสโก้ และประธานสภาตลาดทุนไทยกล่าวในงานมอบรางวัล SAA Awards for Analysts 2012 ถึงกรณีที่สหรัฐฯได้ออกกฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA) ว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ สมาคมธนาคารไทย สภาธุรกิจตลาดทุนไทย และกระทรวงการคลัง ได้หาข้อสรุปที่จะแก้ปัญนี้ คือ การเจรจาระหว่างรัฐกับรัฐ อย่างเช่นกรณีประเทศญี่ปุ่นก็เจรจาระหว่างรัฐต่อรัฐ และเซ็นสัญญาข้อตกลงเอกชน รายงานไปที่รัฐซึ่งกระทรวงการคลังจะมีหน้าที่ดำเนินการต่อไปตามลำดับขั้นตอนเพื่อป้องกันนักลงทุนสหรัฐฯ ที่หลีกเลี่ยงภาษี และจ่ายภาษีซ้อนในอาเซียน
โดยขณะนี้ที่มีคุยกันไว้คือ สิงคโปร์ มาเลเซีย ซึ่งจะร่วมกันเจรจากับรัฐบาลอเมริกาว่าจะใช้วิธีไหน ขณะที่ทางบริษัทหลักทรัพย์ต่างๆ ได้เสนอต่อทางรัฐบาลไทยช่วยคุยกับทางอเมริกา เพราะในทางปฏิบัติเป็นสิ่งที่ยากมาก มันติดหลายข้อกฎหมาย เช่น การเปิดเผยข้อมูลลูกค้าก็เป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอม ซึ่งต้องผ่านสรรพากรอเมริกา จึงให้สรรพากรไทยคุยกับสรรพากรอเมริกาหาข้อยุติ และแนวทางที่เป็นธรรมแก่นักลงทุนทั้ง 2 ฝ่าย เพราะจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2557 แต่ยังมีข้อกฎหมายบางข้อที่ยังต้องแก้
ด้านนายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.เอเซีย พลัส แนะนำว่า กลยุทธ์ของนักลงทุนในช่วงนี้ เนื่องจากค่า P/E ที่ยังสูงอยู่ 30% ของพอร์ตการลงทุนควรเป็นหุ้น และแบ่งจัดสรรเงิน 20-30% มาใช้ในการเทรด มองภาพรวมหลักๆ การเก็งกำไรในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็กยังมีมากอยู่ ส่วนเงินที่เหลือเก็บไว้ทยอยซื้อในตอนที่ราคาหุ้นอ่อนตัวลงมาแล้ว น่าจะได้หุ้นที่ดี และมีราคาที่เหมาะสม
สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุนในครึ่งปีหลัง หุ้นกลุ่มสื่อสารมีความโดดเด่นน่าลงทุน เพราะในกลุ่มสื่อสาร ตั้งแต่เดือนเมษายนเป็นต้นไป จะเริ่มเปิดให้บริการ 3G ปัจจัยนี้น่าจะกระตุ้นตลาดได้อยู่ ส่วนในไตรมาสถัดไปน่าจะเกี่ยวกับกลุ่มหุ้นที่เกี่ยวเนื่องกับทีวีดิจิตอล คิดว่าถ้ามีการประมูล และมีผลออกมา จะสามารถเพิ่มวอลุ่มในหุ้นกลุ่มนี้ได้มาก ส่วนอีกกลุ่มที่น่าสนใจคือ หุ้นกลุ่มธนาคาร เพราะอัตราเติบโตของหุ้นกลุ่มนี้มีค่อนข้างสูงถึง 30% นอกจากนี้ ยังมีหุ้นกลุ่มทีวีดิจิตอลที่ยังคงน่าลงทุนอยู่