เผยไอแบงก์เนื้อหอมนักลงทุนรุมจีบ ทั้งตะวันออกกลาง มาเลย์ อินโดฯ อ้อนขอซื้อหุ้น ฟุ้งขอเวลาคลัง 2 ปี ฟื้นฟูกิจการก่อนเปิดเจรจาขายหุ้น
นายธานินทร์ อังสุวรังษี กรรมการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ไอแบงก์) เปิดเผยว่า ธนาคารวางทิศทางการทำงานในอีก 2 ปีข้างหน้า ว่า หลังการแก้หนี้เสียกว่า 2.43 หมื่นล้านบาท ได้ตามเป้าหมายที่ได้เสนอในแผนฟื้นฟูแล้ว คาดว่าธนาคารจะเดินหน้าทำหนังสือชี้ชวนนักลงทุนให้เข้ามาถือหุ้นในธนาคารได้กลางปี 2557 และคาดว่าในปี 2558 หรืออีก 2 ปีจากนี้ จะพร้อมหาผู้ร่วมทุนรายใหม่
ขณะนี้มีนักลงทุนหลายกลุ่ม จากตะวันออกกลาง มาเลเซีย และอินโดนีเซีย เข้ามาติดต่อผ่านกระทรวงการคลัง เพื่อขอถือหุ้นในธนาคารอิสลาม เนื่องจากยังเห็นช่องทางในการขยายธุรกิจไปยังประเทศสมาชิกอิสลามได้อีกมาก รวมทั้งยังมีสหกรณ์มุสลิมอีก 2-3 แห่ง ที่พร้อมเข้ามาถือหุ้นเพิ่มในไอแบงก์
“ผมได้แจ้งให้ปลัดกระทรวงการคลังทราบว่า ขอเวลาในการแก้หนี้เสียก่อน เพราะถ้าหาผู้ร่วมทุน และขายหุ้นตอนนี้เกรงว่าราคาหุ้นจะตกลงไปมาก จึงขอเวลา 2 ปีในการฟื้นฟูกิจการเพื่อทำให้ราคาหุ้นปรับตัวดีขึ้นก่อน” นายธานินทร์กล่าว
นายธานินทร์ กล่าวอีกว่า สำหรับแผนเพิ่มทุนที่เสนอขอกระทรวงการคลังไป 6 พันล้านบาทนั้น หลักๆ จะมาจากเงินจากกระทรวงการคลังในฐานะผู้ถือหุ้น 49% ประมาณ 2.5 พันล้านบาท ธนาคารออมสิน ในฐานะผู้ถือหุ้น 39% ประมาณ 2 พันล้านบาท และจากธนาคารกรุงไทย ในฐานะผู้ถือหุ้น 9% อีกประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มทุนอีก 6 พันล้านบาท จะต้องรอให้ที่ประชุมผู้ถือหุ้นปลายเดือน พ.ค. เห็นชอบก่อน ซึ่งจะทำให้เงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (บีไอเอส) เพิ่มมาอยู่ที่ระดับ 9%
โดยเบื้องต้นคาดว่า หากมีการขายหุ้นให้ต่างชาติในสัดส่วน 20% จะทำให้สัดส่วนหุ้นของกระทรวงการคลังลดลงเหลือ 35% ธนาคารออมสินลดลงเหลือ 28% และธนาคารกรุงไทยเหลือประมาณ 4.9% สำหรับแผนฟื้นฟูของไอแบงก์ กระทรวงการคลัง อยู่ระหว่างการพิจารณา ส่วนจะได้เงินเพิ่มทุนเท่าไหร่ยังระบุไม่ได้ ขึ้นอยู่กับความจำเป็นที่แท้จริง และธนาคารต้องแสดงให้เห็นว่าการแก้ไขหนี้เสีย 2.43 หมื่นล้านบาท มีความคืบหน้า
ทั้งนี้ ตามแผนใหม่ไอแบงก์จะพิจารณาปล่อยสินเชื่อรายย่อยวงเงินไม่เกิน 20 ล้านบาทต่อราย ส่วนของเอสเอ็มอีไม่เกิน 200 ล้านบาทต่อราย ซึ่งตั้งเป้าสินเชื่อปี 2556 ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท หรือขยายตัว 5-6% นอกจากนี้ จะแก้ไขลูกหนี้รายใหญ่ที่มีปัญหาหนี้เสีย 100 รายแรกก่อน โดยจะเรียกมาเจรจาทั้งหมด ซึ่งกลุ่มนี้มีวงเงินสินเชื่อรวม 1.2 หมื่นล้านบาท แต่คาดว่าจะสามารถปรับโครงสร้างหนี้ได้ภายในปีนี้ประมาณ 6 พันล้านบาท
