ปธ. สภาตลาดทุน ชี้ตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะกระทิง ดัชนี SET มีโอกาสพุ่งทะลุ 1,789 จุด แม้บางช่วงจะมีการขายทำกำไร ลั่นปี 56 ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้น พร้อมคาดกำไร บจ. โตสูง 24% ดึงดูดใจนักลงทุน คาดส่งให้ภาวะตลาดหุ้นไทยร้อนแรงไม่แพ้ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย
นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการธุรกิจตลาดทุนไทย กล่าวในการสัมมนา “หุ้นไทยปี 56 วิ่งต่อหรือชะลอตัว” โดยมองว่า ภาวะตลาดหุ้นไทยยังอยู่ในภาวะกระทิง (Bullish Market) โดยดัชนีปรับตัวขึ้นร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนมีการเทขายหุ้นเพื่อทำกำไรบ้าง แต่แนวโน้มตลาดหุ้นไทยยังไปต่อได้ มีโอกาสที่ดัชนีหุ้นไทยจะทำลายสถิติสูงสุดที่ 1,789 จุด และปีนี้ถือเป็นปีทองของตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ เนื่องจากมีหลายปัจจัยบวกสนับสนุน คือ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เศรษฐกิจไทยที่แข็งแรง คาดว่าปีนี้อัตราการขยายตัวจะเติบโตร้อยละ 5 ขณะที่อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกยังอยู่ในระดับต่ำ เอื้อต่อการลงทุนในตลาดหุ้น และปัจจัยสำคัญคือ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่คาดว่าขยายตัวต่อเนื่องในระยะ 3 ปี โดยในปีนี้คาดว่ากำไรจะโตร้อยละ 24 และปี 2557 โตร้อยละ 13 ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความร้อนแรงเหมือนกับตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ที่ดัชนีปรับขึ้นจากระดับ 1,000 ไปอยู่ที่ระดับ 5,000 จุด
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.) กรุงศรี กล่าวว่า ในระยะ 3-5 ปี ตลาดหุ้นไทยยังเติบโตได้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) คาดว่า กำไร บจ.ปีนี้จะขยายตัวร้อยละ 15-20 และดัชนีมีแนวโน้มปรับขึ้นร้อยละ 10-20 ต่อปี สอดคล้องกับอัตราการเติบโตของกำไร ดังนั้น มองว่าตลาดหุ้นไทยจะไปต่อ โดยแนะนำให้ลงทุนในหุ้นร้อยละ 60 ตราสารหนี้ร้อยละ 20 และอีกร้อยละ 20 ลงทุนในทองคำ และกองทุนอสังหาริมทรัพย์ และกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ส่วนภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ยังคงขยายตัวดี โดย บลจ.กรุงศรี มีการทบทวนใหม่ คาดว่าจีดีพีปีนี้จะขยายตัวถึงร้อยละ 7.16 โดยมาจากการฟื้นตัวของภาคการผลิต และภาคอุตสาหกรรมที่จะฟื้นตัวเต็มที่ในช่วงไตรมาส 2-3 ปีนี้ โดยเฉพาะอิเล็กทรอนิกส์ ที่กำลังการผลิตจะฟื้นตัวเต็มที่จะเป็นแรงสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจปีนี้ ขณะที่การส่งออกคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 17.56 โดยตลาดหลักสำคัญคือ จีน ที่เศรษฐกิจยังขยายตัวได้ดีถึงร้อยละ 7 และอาเซียนขยายตัวร้อยละ 6-8 ซึ่งเมื่อเศรษฐกิจจีน และอาเซียนโตก็จะมีการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคมากขึ้น