“เนาวรัตน์พัฒนาการ” คาดปีนี้รายได้รวมแตะ 8 พันล้าน หลัง Backlog ปรับตัวเพิ่ม ตั้งเป้า Gross Margin ที่ระดับ 8-12% จากการลุยงานเมกะโปรเจกต์รัฐทั้งในแบบดำเนินการเอง และร่วมดำเนินการ ล่าสุด เตรียมตั้งบริษัทลูก “มานะพัฒนาการ” ลุยธุรกิจอสังหาฯ
นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองประธารกรรมการผู้จัดการอาวุโส แผนกธุรกิจและวางแผนกลยุทธ์ บมจ.เนาวรัตน์พัฒนาการ (NWR) กล่าวว่า ในปี้นี้รายได้ของบริษัทน่าจะเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 6,000-8,000 ล้านบาท จากปี 55 ซึ่งมีรายได้ 7,300 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่มาจากการทยอยรับรู้รายได้งานในมือ (Backlog) ที่เพิ่มขึ้นมาเป็น 14,000 ล้านบาท จาก 12,000 ล้านบาท เมื่อสิ้นปี เนื่องจากบริษัทได้งานใหม่ในช่วงต้นปีเพิ่มเข้ามา 1,700 ล้านบาท แบ่งเป็นงานภาคเอกชน 80% งานภาครัฐ 20% และหลังจากสิ้นไตรมาสที่ 3 และ 4 จะมีงานที่เป็นของหน่วยงานรัฐมากขึ้น
“บริษัทตั้งเป้ารายได้แต่ละไตรมาสในปีนี้ อยู่ที่ 1,500 -2,000 ล้านบาท และคาดการณ์อัตรกำไรขั้นต้นทั้งปีที่ 8-12% จากปีก่อน อยู่ที่ระดับ 8.3% เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับงานเพิ่มมากขึ้น และการแข่งขันด้านราคาลดลง อีกทั้งบริษัทยังเลือกรับงานที่มีมาร์จิ้นสูงขึ้นได้ เพื่อทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น รวมทั้งสามารถควบคุมต้นทุนการขาย และบริหารได้เป็นอย่างดี จึงเชื่อว่ากำไรสุทธิในปี 56 จะเติบโตเช่นกัน”
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในอนาคต บริษัทมีแผนจะขายหุ้นเพิ่มทุน เพื่อรองรับงานที่เพิ่มมากขึ้น โดยงานที่รับจะมาจากหน่วยงานรัฐที่เป็นโครงการใหญ่ของรัฐบาล และเอกชน ทั้งในโครงสร้างพื้นฐานและโครงการเมกะโปรเจกต์ ภายใต้ พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท และงานภายใต้การบริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท โดยบริษัทฯ จะติดตามการประมูลโครงการต่างๆ เป็นงบประมาณรวม 1.3 ล้านล้านบาท ซึ่งอาจเป็นผู้รับเหมารายเดียว หรืออาจเข้าร่วมกับผู้รับเหมารายอื่น หรืออาจจะเป็นซัปพลายเออร์เกี่ยวกับวัสดุก่อสร้าง ทำให้คาดว่าจะมีส่วนร่วมในงานประมาณ 15,000-20,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.5-2% ซึ่งคาดว่างานภาครัฐจะเริ่มทยอยเข้ามามากขึ้นในครึ่งปีหลัง หรือตั้งแต่ไตรมาส 3/56 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ทางบริษัทเตรียมต่อยอดธุรกิจด้วยการแบ่งเงินไปลงทุนทำธุรกิจอสังหาฯ รับสร้างบ้านเดี่ยว ซึ่งได้ผลตอบรับดี จากที่เริ่มขายในตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ตอนนี้มียอดขายบ้านเดี่ยวไปแล้ว 60 ยูนิต จากจำนวน 200 ยูนิต มูลค่ากว่า 500 ล้านบาท และเตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 100 ยูนิต มูลค่า 100 ล้านบาท
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้วางแผนที่จะเปิดบริษัทลูกคือ มานะพัฒนาการ เข้ามาดำเนินการด้านธุรกิจอสังหาฯ อย่างเต็มรูปแบบ โดยจะเริ่มดำเนินการได้ในปี 2557 เนื่องจากบริษัทฯ มีความพร้อมทั้งทางด้านกำลังคน และเงินทุนอยู่แล้ว และเพื่อให้ง่ายในการแบ่งยอดรายรับรายจ่ายได้อย่างชัดเจน
“เราหันมาพัฒนาโครงการอสนังหาริมทรัพย์เอง เนื่องจากการเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาฯ เองนั้นมีมาร์จิ้นที่ดีกว่าการรับเหมาอย่างเดียว โดยโครงการอสังหาฯ มีมาร์จิ้น 25-30% แต่การรับเหมามีมาร์จิ้นแค่ 8-12% เราทำเองนั้นการออกแบบ และการก่อสร้างสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้มากกว่า แต่เรายังไม่ทำโครงการใหญ่ๆ แต่จะเน้นไปที่โครงการขนาดปานกลาง”