xs
xsm
sm
md
lg

หุ้น มี.ค.ผันผวนจัด-ระวังแรงขาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 ตลาดหุ้นไทยมีนาคม ส่อปรับฐาน หลังสหรัฐฯ ตัดลดงบประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท คาดดึงเศรษฐกิจอเมริกาชะลอตัวลงอีก 0.5% อีกทั้งตลาดหุ้นไทยโดนปรับลดน้ำหนักการลงทุน จากราคาหุ้นที่แพงขึ้น P/E สูงจัด โบรกฯ เตือนความผันผวนสูง ระวังแรงเทขายทำกำไร

ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันศุกร์ที่ 1 มี.ค. ปิดที่ระดับ 1,539.60 จุด ลดลง 1.98 จุด หรือ -0.13% มูลค่าการซื้อขาย 64,514.94 ล้านบาท เป็นการเคลื่อนไหวในลักษณะไร้ทิศทาง เนื่องจากนักลงทุนรอความชัดเจนการเจรจาตัดลดงบฯสหรัฐฯ อีกทั้งตลาดยังไร้ปัจจัยหนุนใหม่เข้ามาใหม่ โดยล่าสุด ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ลงนามบังคับใช้ในมาตรการตัดลดงบประมาณอัตโนมัติ มูลค่า 8.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ แล้ว (ราว 2.5 ล้านล้านบาท) หรือที่รู้จักในชื่อ ซีเควสเตอร์ (sequester) หลังจากเจรจากับรีพับลิกันล้มเหลว โดยก่อนหน้านี้ นายโอบามาเคยเตือนว่า การตัดงบประมาณดังกล่าวจะทำให้การเติบโตของสหรัฐฯ ชะลอตัวลงอย่างน้อย 0.5% และกระทบต่อตำแหน่งงานอีกอย่างน้อย 750,000 ตำแหน่ง

ขณะเดียวกัน งบประมาณใช้จ่ายของรัฐบาลสหรัฐฯ กำลังจะหมดลงในวันที่ 27 มี.ค.นี้ โดยสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ระบุว่า พวกเขาจะโหวตอนุมัติกฎหมายงบประมาณรอบใหม่ ซึ่งจะทำให้สหรัฐฯ มีงบใช้จ่ายไปจนถึง 30 ก.ย. ภายในสัปดาห์หน้า

ด้านภาพรวมตลาดหุ้นไทย พบว่า  ตั้งแต่ 1 ม.ค.-28 ก.พ. มีเพียงกลุ่มสถาบันที่ซื้อสุทธิ 19,831.98 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,350.06 ล้านบาท เช่นเดียวกับบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ที่ขายสุทธิ 2,547.28 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 14,934.65 ล้านบาท มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในวันที่ 1 มี.ค.ที่ระดับ 13,121,796.36 ล้านบาท และมี P/E 18.97 เท่า โดยเปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในรอบ 3 เดือนล่าสุด +16.28% ในรอบ 6 เดือนล่าสุด +23.77%

อย่างไรก็ตาม เมื่อเร็วๆ นี้  บล.มอร์แกน สแตนเลย์ ได้ทบทวนอันดับการลงทุนของตลาดหุ้นเกิดใหม่ และตลาดหุ้นภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นญี่ปุ่น โดยลดน้ำหนักหุ้นไทย ฟิลิปปินส์ แอฟริกาใต้ ไต้หวัน บราซิล และเม็กซิโก แต่ไปเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในหุ้นรัสเซีย จีน โปแลนด์ เปรู โมร็อกโก และออสเตรเลีย ซึ่งทำให้อันดับความน่าลงทุนของหุ้นไทยลดลงจากอันดับ 12 เป็นอันดับ 23 โดยให้เหตุผลว่า ราคาแพง และในทางเทคนิคเรียกว่าเกิดภาวะซื้อมากจนเกินไป

ล่าสุด  บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำแนวโน้ม และทิศทางลาดหุ้นไทยเดือนมีนาคมว่า ดัชนี SET ที่ 1,530.32 จุดนั้น คิดเป็นค่าพีอีคาดการณ์ปี 2556 ที่ 15.83 เท่า ถือว่าเข้าสู่ระดับที่สูงมากเมื่อเทียบกับอัตราเติบโตของผลกำไร ในเดือนมีนาคมนี้ หากปัจจัยมหภาคทางฝั่งตะวันตก ไม่ว่าอเมริกา หรือยุโรป ให้ความคาดหวังเชิงกลางถึงบวกนั้น ก็คาดหวังที่จักเห็นดัชนี SET ดีดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่หากปราศจากปัจจัยหนุนจากฟากตะวันตก อาจคาดหวังดัชนี SET ปรับฐานในเดือนสาม หรือทรงตัวได้

โดยประเมินว่า ในเดือนมีนาคมนี้ หากดัชนี SET ยืนเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่เส้นสี่สัปดาห์ระดับ 1,520 จุดนั้น อาจรักษากำลังผลักทางขึ้นได้ต่อเนื่องอีกไปอีก 60 จุด เพื่อผลักดัชนีขึ้นสู่ระดับแนวต้าน 1,580 จุด และอาจรักษากำลังผลักทางขึ้นสู่แนวต้าน 1,600 จุด แต่หากปรับตัวลดลงต่ำกว่าแนวรับ 1,520 จุด อาจเกิดแรงกดมาอยู่ที่ 1,480 จุด และอาจมีกำลังกดทางลงต่อเนื่องมาสู่ 1,463 จุด

ขณะที่  ดัชนีดาวโจนส์ แห่งอเมริกาที่ปรับตัวดีขึ้น เป็นดัชนีเพื่อสะท้อนความคาดหวังว่าด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ เช่น ปัจจัยว่าด้วยเพดานหนี้ หรือการขยายระดับหนี้ที่จะก่อได้มากขึ้น ปัจจัยว่าด้วยนโยบายการเงินที่เน้นใส่เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งหากในเดือนนสี่ ดัชนีดาวโจนส์ทรงตัวทางขึ้นต่อเนื่องจะเป็นผลบวกต่อตลาดทุนทั่วโลก รวมถึง SET แต่หากดัชนีดาวโจนส์ปรับลดลง อาจส่งผลเชิงลบต่อตลาดทุนได้  

 ส่วน ศูนย์วิจัยกสิกรไทยฯ คาดสัปดาห์นี้ดัชนีอาจเผชิญกับความผันผวน โดยต้องระวังแรงขายทำกำไร และรอดูข้อมูลภาคการผลิตของภูมิภาคหลักของโลก รวมถึงการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ เช่น เครื่องชี้ภาคบริการ (ISM Non-Manufacturing) ยอดสั่งซื้อสินค้าโรงงาน และการจ้างงานนอกภาคเอกชน ทั้งนี้ คาดว่า ดัชนีจะมีแนวรับที่ 1,515 และ 1,500 จุด ขณะที่แนวต้านคาดว่าจะอยู่ที่ 1,570 และ 1,580 จุด ตามลำดับ

 
กำลังโหลดความคิดเห็น