ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม งวดสิ้นปีกำไร 135.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 318.04% เมื่อเทียบกับงวดนี้ปีก่อน บอร์ดไฟเขียวจ่ายเงินปันผลตอบแทนผู้ถือหุ้นเพิ่มอีกหุ้นละ 0.12 บาท “สุรเชษฐ์” เผยผลดีจากภาครัฐสนับสนุนให้ใช้รถยนต์ Eco Cars และการเพิ่มมาตรการประหยัดภาษีสำหรับรถยนต์คันแรก ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน พร้อมตั้งเป้ารายได้ปีนี้โตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 25%
นายสุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ที.เอ็ม.ซี.อุตสาหกรรม จำกัด (มหาชน) หรือ TMC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานงวดปี 2555 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2555 โดยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 135.53 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิเท่ากับ 32.42 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเพิ่มขึ้น 318.04 % เนื่องจากรายได้จากการขาย และบริการของบริษัทเพิ่มขึ้นจาก 669.88 ล้านบาท เป็น 1,002.87 ล้านบาท เป็นผลมาจากมาตรการของภาครัฐที่สนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ที่มีคุณสมบัติในการประหยัดพลังงาน (Eco Cars) และการเพิ่มมาตรการประหยัดภาษี
สำหรับรถยนต์คันแรก จึงส่งผลให้ค่ายรถยนต์ต่างๆ เร่งกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้า และมีความต้องการเครื่องเพรสระบบไฮดรอลิกเพิ่มขึ้น ประกอบกับในช่วงเหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ทำให้เครื่องเพรสของลูกค้าได้รับความเสียหายไม่สามารถใช้งานได้ จึงทำให้ลูกค้ามีความต้องการใช้บริการในการซ่อมแซม และดูแลรักษาเครื่องจักรเพิ่มขึ้น และบางรายที่ไม่สามารถรอการซ่อมแซมได้ จึงหันมาสั่งซื้อเครื่องเพรสใหม่ทดแทนเครื่องเพรสเดิมที่ชำรุด ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้ยอดขายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นคิดเป็น 49.71% เมื่อเปรียบงวดเดียวกันของปีก่อน และจากเหตุการณ์ครั้งนี้ส่งผลให้บริษัทมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นด้วย
นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายเครื่องทดสอบแม่พิมพ์ขนาดใหญ่ ซึ่งมีความยาก และซับซ้อนในการผลิต และการส่งออกเครื่องเย็บขอบชิ้นงานไปต่างประเทศ จึงทำให้บริษัทกำหนดอัตรากำไรขั้นต้นได้สูงกว่าเครื่องจักรประเภทอื่น และครอบคลุมไปถึงการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรขั้นต้นจากการให้บริการ เนื่องจากลูกค้ามีความต้องการในการซ่อมแซมเครื่องจักรสูง จึงเป็นโอกาสทางการตลาดที่บริษัทสามารถเลือกให้บริการสำหรับลูกค้าที่ให้ผลตอบแทนสูง และการบริหารต้นทุนในการผลิตให้เป็นไปตามงบประมาณที่เสนอลูกค้า ขณะที่ต้นทุนทางการเงินได้ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 49.79% เนื่องจากบริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้น ทำให้บริษัทมีสภาพคล่องมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีความต้องการใช้วงเงินสินเชื่อลดลง รวมถึงบริษัทมีการชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงินภายหลังบริษัทได้รับเงินเพิ่มทุนจากการขายหุ้นให้แก่ประชาชน
“ผมเชื่อว่าผลการดำเนินงานในปี 2556 จะมีทิศทางเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวไม่ต่ำกว่า 25% เนื่องจากอุตสาหกรรมยานยนต์ยังเป็นขาขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกที่ทำให้ธุรกิจของบริษัทมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ขณะที่เครื่องจักรของบริษัทมีความทันสมัย สามารถรองรับคำสั่งซื้อจากลูกค้าที่หลากหลาย อีกทั้งบริษัทจะทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ (Backlog) ที่ปัจจุบันมีอยู่กว่า 343 ล้านบาท จึงน่าจะเป็นปัจจัยบวกที่ผลักดันให้ผลการดำเนินงานของบริษัทขยายตัวได้อย่างต่อเนื่อง” นายสุรเชษฐ์กล่าว
พร้อมกันนี้ จากผลการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 1/2556 จึงมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดครึ่งหลังปี 2555 (1 ก.ค.-31 ธ.ค.55) เพิ่มอีกในอัตราหุ้นละ 0.12 บาท เมื่อรวมกับที่จ่ายเงินปันผลงวดระหว่างกาล (1 ม.ค.-30 มิ.ย.55) ไปในอัตราหุ้นละ 0.09 บาท เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2555 ส่งผลให้บริษัทจ่ายปันผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นงวดปี 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.21 บาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 29 เมษายน 2556 และให้รวบรวมรายชื่อตามมาตรา 225 ของพระราชบัญญัติหลักทรัพย์ฯ โดยวิธีปิดสมุดทะเบียนในวันที่ 30 เมษายน 2556 (XD ในวันที่ 25 เมษายน 2556) และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2556