ตลาดหลักทรัพย์ฯ โชว์กำไรปี 55 ทำสถิติสูงสุดกว่า 1.3 พันล้านบาท เติบโตถึง 22.7% จากปีก่อนหน้า หลังรายได้ตราสารทุน-เงินลงทุนเพิ่มขึ้น ตามดัชนีตลาด-วอลุ่มการซื้อขาย ระบุเงินกองทุนสูงขึ้นเฉียด 2 หมื่นล้าน ขณะที่ บจ. ในตลาด “เอ็มเอไอ” กำไรปี 55 โตพรวดถึง 27% โดยมีแค่ 9 รายที่ผลประกอบการลดลง พร้อมระบุมีอีก 6 บริษัทใหม่จ่อคิวเข้าตลาด มั่นใจนักลงทุนเตรียมช้อนซื้อคึกคัก
รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) แจ้งว่า ผลการดำเนินงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2555 มีรายได้สูงกว่าค่าใช้จ่าย หรือมีกำไรรวม 1.36 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.7% จากปีก่อนหน้า และทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เป็นผลมาจากรายได้จากการดำเนินงาน รายได้จากเงินลงทุน และรายได้อื่นๆ ที่เพิ่มขึ้น โดยรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 3.36 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.7% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากมูลค่าซื้อขายหลักทรัพย์ (วอลุ่ม) เฉลี่ยต่อวัน และมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เกตแคป) ของตราสารทุนที่เพิ่มขึ้น
โดยในปี 2555 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ปิดที่ระดับ 1,391.93 จุด เพิ่มขึ้น 366.61 จุด หรือ 35.76% จากปีก่อน มีวอลุ่มซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 32,304 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% มีมาร์เกตแคปรวม 11.9 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.92% และมีจำนวนหลักทรัพย์จดทะเบียน 1,048 หลักทรัพย์ เพิ่มขึ้น 23.58% จากปีก่อนหน้า
ทั้งนี้ รายได้จากการดำเนินงานส่วนใหญ่เป็นรายได้จากธุรกิจตราสารทุนอยู่ที่ 1.52 พันล้านบาท คิดเป็น 45% ของรายได้จากการดำเนินงาน ส่วนรายได้จากตราสารอนุพันธ์อยู่ที่ 541 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจบริการเทคโนโลยีอยู่ที่ 605 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจงานนายทะเบียนอยู่ที่ 699 ล้านบาท
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังมีรายได้จากเงินลงทุนอยู่ที่ 982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.59% จากปีที่ผ่านมา มาจากดอกเบี้ยรับที่เพิ่มขึ้นตามจำนวนเงินลงทุน และอัตราผลตอบแทนที่เพิ่มขึ้นจากภาวะตลาด ที่มีการออกอัตราดอกเบี้ยพิเศษสูงกว่าปี 2554 รวมทั้งเงินปันผลรับ และกำไรจากการขายเงินลงทุนเพิ่มขึ้นตามการปรับตัวของตราสารทุนที่เพิ่มขึ้น
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการกลับรายการด้อยค่าของเงินลงทุนในกองทุนส่วนบุคคล หรือ ไพรเวต อิควิตี้ และกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของทุนดังกล่าวที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงาน ในปี 2555 อยู่ที่ 2.59 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.12% จากเงินอุดหนุนสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ที่เพิ่มขึ้น ตามมูลค่าการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น จากระบบงานใหม่ที่เริ่มใช้งานในเดือน ก.ย.2555
สำหรับฐานะทางการเงิน ณ สิ้นปี 2555 ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสินทรัพย์รวม 2.99 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.79% มีหนี้สินรวม 1.04 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.21% และมีเงินกองทุน 1.94 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.04% จากปีก่อนหน้า เนื่องจากกลุ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ มีกำไร 1.36 พันล้านบาท รวมทั้งมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของเงินลงทุนในหลักทรัพย์เผื่อขาย รวม 248 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ในปี 2555 ตลาดหลักทรัพย์ฯ อยู่ระหว่างฟ้องร้องกลุ่มบริษัทประกันภัย เพื่อเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนกรณีผิดสัญญาประกันภัย จากเหตุการณ์ไฟไหม้อาคาร เมื่อปี 2553 เป็นจำนวนเงิน 123 ล้านบาท พร้อมอัตราดอกเบี้ย 7.5% โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลแพ่ง ตลาดหลักทรัพย์ฯ จึงยังไม่ได้บันทึกรายการนี้ในงบการเงิน ปี 2555
สำรวจผลประกอบการงวดปี 2555 ของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอไอ จำนวน 29 บริษัทที่ได้ประกาศผลประกอบการออกมาแล้ว พบว่า กำไรสุทธิรวมงวดปี 2555 มีจำนวน 2,744 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.31% จากงวดปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 2,155 ล้านบาท
ทั้งนี้ จากการสำรวจบริษัทที่ประกาศผลประกอบการแล้ว 29 บริษัท พบว่า มีบริษัทจำนวน 9 บริษัท ที่กำไรสุทธิปรับลดลงเมื่อเทียบกับกำไรงวดปี 2554 หรือคิดเป็น 30% ของจำนวนบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ที่รายงานผลประกอบการแล้ว
สำหรับบริษัท (บจ.) ที่มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้นมากที่สุด คือ บริษัท บรุ๊คเคอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BROOK ทั้งนี้ บริษัทชี้แจงว่าสาเหตุที่ผลประกอบการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ มาจากบริษัทมีรายได้รวม 544.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 144.77 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 276.12% เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพราะรับรู้รายได้ค่าบริการที่ปรึกษาจากโครงการใหญ่โครงการหนึ่ง และรายได้บริหารจัดการกองทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นจากปี 2554
นอกจากนี้ กำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากหลักทรัพย์เพื่อค้าเพิ่มขึ้น จำนวน 131.54 ล้านบาทในปี 2555 ในขณะที่ไม่มีกำไรที่ยังไม่เกิดขึ้นจากหลักทรัพย์เพื่อค้าในช่วงเดียวกันของปีก่อน กำไรจากการขายเงินลงทุนในหลักทรัพย์เพื่อค้าลดลงจากปีที่แล้ว จำนวน 31.14 ล้านบาท รายได้เงินปันผลรับลดลง 2.15 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
ขณะเดียวกัน บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO รายงานผลประกอบการงวดปี 2555 มีกำไรสุทธิ จำนวน 84 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 313% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 35.27 ล้านบาท
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2555 มีการเติบโตโดดเด่น ในส่วนของรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ลูกค้ามีความไว้วางใจในคุณภาพงานของบริษัท บวกการเติบโตของธุรกิจ อีเวนต์ในปี 2555 ที่คึกคักเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะผลประกอบการในไตรมาส 4 ที่มีการเติบโตสูงเท่าตัว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้ารายปี 2556 อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท จากปี 2555 อยู่ที่ 1,237 ล้านบาท โดยการเติบโตของธุรกิจจะมาจากการขยายงานที่เพิ่มขึ้น สัดส่วนลูกค้าปีนี้จะปรับสัดส่วนงานภาครัฐอยู่ที่ 25% และเพิ่มสัดส่วนงานภาคเอกชนเป็น 75% ตลอดจนเพิ่มสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเป็น 10% ของรายได้ทั้งหมด จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนอยู่ที่ 5%
นอกจากนี้ บริษัท บิวเดอสมาร์ท (BSM) ก็มีกำไรสุทธิปรับเพิ่มขึ้น 354% โดยมีกำไรสุทธิงวดปี 2555 จำนวน 13.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดปี 2554 ที่ขาดทุนสุทธิ 5.49 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีรายได้จากการขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น 57.22 ล้านบาท ขณะที่ บริษัท เอเชีย กรีน เอนเนอจี (AGE) รายงานผลประกอบการงวดปี 2555 พบว่า กำไรสุทธิลดลง 109% โดยงวดปี 2555 บริษัทประสบผลขาดทุนสุทธิ จำนวน 24.31 ล้านบาท จากงวดปี 2554 ที่มีกำไรสุทธิ 260 ล้านบาท
นายชัย จิรเสวีนุประพันธ์ ผู้จัดการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บล.โนมูระ พัฒนสิน เปิดเผยว่า ขณะนี้ถือเป็นจังหวะดีที่บริษัทจดทะเบียน (บจ.) ต่างๆ จะเพิ่มทุน รวมถึงเป็นโอกาสที่บริษัทน้องใหม่จะเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) เพื่อนำหุ้นเข้าจดทะเบียน และซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) หรือตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ เนื่องจากภาพรวมการลงทุนมีความสดใส หลังดัชนีปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง อีกทั้งปริมาณการซื้อขาย (วอลุ่ม) เฉลี่ยต่อวันก็มีความคึกคักมาก
รายงานข่าวเพิ่มเติมจาก ตลท. ระบุว่า ปัจจุบัน มีบริษัทที่เตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอในตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกจำนวน 6 บริษัท โดยส่วนใหญ่อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ประกอบด้วย บริษัท อมตะ วีเอ็น ประกอบธุรกิจการลงทุนในบริษัทที่พัฒนาและประกอบกิจการนิคมอุตสาหกรรม และกิจการที่เกี่ยวข้องในเวียดนาม โดยจะเสนอขายไอพีโอ จำนวน 139.83 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท, บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนภายใต้ชื่อ โรงพยาบาลจุฬารัตน์ ในพื้นที่ภาคตะวันออก และในจังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งจะเสนอขายไอพีโอ 220 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1.00 บาท
นอกจากนี้ ยังมีบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทราย และธุรกิจอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น ธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายเยื่อกระดาษฟอกขาวจากชานอ้อย โดยจะขายไอพีโอ 957.82 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1.00 บาท, บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ผู้ดำเนินธุรกิจร้านอาหารภายใต้เครื่องหมายการค้า เอ็ม เค จะเสนอขายไอพีโอ 185.85 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1.00 บาท, บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น ผู้ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เน้นสินค้าระดับไฮเอนด์ จะเสนอขายไอพีโอ 600 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1.00 บาท และบริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี ผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันที่บริษัทเป็นผู้บริหารงาน และธุรกิจค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิง ภายใต้เครื่องหมายการค้าพีที จะเสนอขายไอพีโอ 420 ล้านหุ้น ราคาพาร์หุ้นละ 1.00 บาท
อย่างไรก็ตาม ในเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา บจ.ระดมทุนในรูปตราสารทุนมูลค่า 4,368 ล้านบาท โดยเป็นการระดมทุนในตลาดแรก 3,080 ล้านบาท จากการเข้าจดทะเบียนของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ (อีเอ) และมีการระดมทุนในตลาดรอง 1,288 ล้านบาท