เอสพีซีจี งวดสิ้นปีฟื้นกำไรเกือบ 40 ล้านบาท หลังจากงวดนี้ปีก่อนขาดทุน 12 ล้านบาท ผลดีจากกำไรขั้นต้นพุ่ง และมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน อีกทั้งรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เหล็ก และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้งเพิ่ม
น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 55 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 39.36 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนขาดทุนสุทธิ 11.78 ล้านบาท หรือฟื้นกำไรกว่า 434% ผลดีจากอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2555 เท่ากับร้อยละ 53.26 สูงกว่าปี 2554 ที่เท่ากับร้อยละ 47 อันเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญ และยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
โดยงวดนี้มีรายได้การขาย และการให้บริการ 1,214.36 ล้านบาท สูงกว่าปี 2554 (578.56 ล้านบาท) เป็น 635.79 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 110 เนื่องจาากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย สามารถผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าได้ ทั้งนี้ ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป บริษัทย่อยทั้ง 9 บริษัทข้างต้นจะมีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้เต็มปี
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เหล็ก และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้งในปี 2555 จานวน 302.39 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้ 236.12 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 สืบเนื่องจากรายได้ของปี 2554 เป็นตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือน อันเนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่ม และเพิ่งจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อดาเนินธุรกิจเหล็ก อย่างไรก็ตาม หากไม่พิจารณาผลการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะพบว่า รายได้ของธุรกิจเหล็กอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2552 และ 2553 ที่เท่ากับ 296 ล้านบาท และ 316 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะมีต้นทุนขาย และการให้บริการมี 567.62 ล้านบาท สูงกว่าปี 2554 (305.49 ล้านบาท) เป็น 262.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86 เนื่องจากค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินและโรงไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของทั้ง 9 บริษัทย่อย ในปี 2555 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 112 ส่วนต้นทุนขายผลิตภัณฑ์เหล็กและต้นทุนขายพร้อมติดตั้งในปี 2555 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 45 เกิดจากต้นทุนขายผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กของบริษัทฯ ในปีก่อนจะแสดงยอดเพียง 9 เดือน (เมษายน-ธันวาคม 2554) อันเนื่องจากการปรับโครงสร้างกิจการ
น.ส.วันดี กุญชรยาคง ประธานกรรมการ และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสพีซีจี จำกัด (มหาชน) หรือ SPCG แจ้งผลงานงวดสิ้นปี 55 ว่า บริษัทมีกำไรสุทธิ 39.36 ล้านบาท ขณะที่งวดนี้ปีก่อนขาดทุนสุทธิ 11.78 ล้านบาท หรือฟื้นกำไรกว่า 434% ผลดีจากอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2555 เท่ากับร้อยละ 53.26 สูงกว่าปี 2554 ที่เท่ากับร้อยละ 47 อันเป็นผลมาจากการเติบโตของธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์เป็นสำคัญ และยังมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนด้วย
โดยงวดนี้มีรายได้การขาย และการให้บริการ 1,214.36 ล้านบาท สูงกว่าปี 2554 (578.56 ล้านบาท) เป็น 635.79 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 110 เนื่องจาากธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ของบริษัทย่อย สามารถผลิต และจำหน่ายไฟฟ้าได้ ทั้งนี้ ส่งผลให้ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป บริษัทย่อยทั้ง 9 บริษัทข้างต้นจะมีรายได้จากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้าได้เต็มปี
นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขายผลิตภัณฑ์เหล็ก และรายได้จากการขายพร้อมติดตั้งในปี 2555 จานวน 302.39 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้ 236.12 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 28 สืบเนื่องจากรายได้ของปี 2554 เป็นตัวเลขผลประกอบการ 9 เดือน อันเนื่องจากผลของการปรับโครงสร้างธุรกิจในกลุ่ม และเพิ่งจัดตั้งบริษัทย่อยใหม่เพื่อดาเนินธุรกิจเหล็ก อย่างไรก็ตาม หากไม่พิจารณาผลการปรับโครงสร้างธุรกิจ จะพบว่า รายได้ของธุรกิจเหล็กอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2552 และ 2553 ที่เท่ากับ 296 ล้านบาท และ 316 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะมีต้นทุนขาย และการให้บริการมี 567.62 ล้านบาท สูงกว่าปี 2554 (305.49 ล้านบาท) เป็น 262.13 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 86 เนื่องจากค่าเสื่อมราคาของทรัพย์สินและโรงไฟฟ้าที่ใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าของทั้ง 9 บริษัทย่อย ในปี 2555 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 112 ส่วนต้นทุนขายผลิตภัณฑ์เหล็กและต้นทุนขายพร้อมติดตั้งในปี 2555 สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นร้อยละ 45 เกิดจากต้นทุนขายผลิตภัณฑ์หลังคาเหล็กของบริษัทฯ ในปีก่อนจะแสดงยอดเพียง 9 เดือน (เมษายน-ธันวาคม 2554) อันเนื่องจากการปรับโครงสร้างกิจการ
