ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์ฯ งวดสิ้นปี 55 ขาดทุน 274.72 ล้านบาท หรือลดลง 400 ล้านบาท เหตุนโยบายแทรกแซงราคายางของรัฐบาลไทยเมื่อปี 55 ส่งผลให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น และไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลกกระทบกำไรขั้นต้นต่ำ อีกทั้งการออก QE3 ของสหรัฐอเมริกา และการอ่อนค่าของเงินเยน ส่งผลให้ราคายางปรับตัวขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี กระทบต่อการกรีดยาง และขาดทุนจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้ายางพารา
นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 55 ว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 274.72 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกาไรสุทธิ 124.93 ล้านบาท นับว่าผลประกอบการลดลง 399.66 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปี 2555 ส่งผลต่อความต้องการใช้ยางที่ลดลง และทิศทางราคายางที่ควรเป็นขาลง แต่มีก็มีปัจจัยดังต่อไปนี้ที่ทำให้ราคาเกิดความผันผวนในระหว่างปี
ประกอบด้วย นโยบายแทรกแซงราคายางของรัฐบาลไทยในเดือนมกราคม และสิงหาคม 2555 ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น และไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก จึงทำให้บริษัทได้กำไรขั้นต้นที่ต่ำลง การออก QE3 ของสหรัฐอเมริกา และการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลกรีดยาง ที่วัตถุดิบจะต้องออกมาก และราคาควรปรับตัวลง การขายของธุรกิจยางจะต้องการมีการขายล่วงหน้าเป็นปกติ จากปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้ตามข้างต้น ทำให้ผลประกอบการปี 2555 เกิดขาดทุนจากการขายสินค้าล่วงหน้า และขาดทุนจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้ายางพารา แม้บริษัทฯ จะสามารถเพิ่มปริมาณขายได้ โดยปริมาณการขายน้ายางข้นมากกว่าปี 2554 ประมาณ 13% มีการผลิต และขายยางแท่ง STR 20 ที่เริ่มผลิต และขายในปี 2555 และในส่วนยางยืดมีปริมาณการขายมากกว่าปี 2554 ประมาณ 14%
นอกจากนี้ การปรับค่าแรง และเงินเดือนตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้บริษัทมีการปรับโครงสร้างเงินเดือน และค่าแรงทั้งองค์กร เงินเดือนรวมในปี 2555 จึงสูงขึ้นกว่าปีก่อน 31 ล้านบาท ปี 2555 เมื่อเทียบกับปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และบริการ 16,446.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.16 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.93% ต้นทุนขายและบริการ 15,841.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 514.61 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.36% ทำให้กลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้น 605.50 ล้านบาท ลดลง 363.45 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 37.51% ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และภาษีเงินได้นิติบุคคล มี 968.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.80 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.47% ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงขึ้นเนื่องจากปริมาณการขายสูงขึ้นทาให้ค่าใช้จ่ายขายสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าปี 2554 และการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นจากปริมาณการขายที่สูงขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้อื่น 130.73 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากดอกเบี้ยรับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้อื่นๆ
นายวรเทพ วงศาสุทธิกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยรับเบอร์ลาเท็คซ์คอร์ปอร์เรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TRUBB แจ้งผลการดำเนินงานงวดสิ้นปี 55 ว่า บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 274.72 ล้านบาท เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกาไรสุทธิ 124.93 ล้านบาท นับว่าผลประกอบการลดลง 399.66 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัวในปี 2555 ส่งผลต่อความต้องการใช้ยางที่ลดลง และทิศทางราคายางที่ควรเป็นขาลง แต่มีก็มีปัจจัยดังต่อไปนี้ที่ทำให้ราคาเกิดความผันผวนในระหว่างปี
ประกอบด้วย นโยบายแทรกแซงราคายางของรัฐบาลไทยในเดือนมกราคม และสิงหาคม 2555 ทำให้ราคาวัตถุดิบสูงขึ้น และไม่เป็นไปตามกลไกตลาดโลก จึงทำให้บริษัทได้กำไรขั้นต้นที่ต่ำลง การออก QE3 ของสหรัฐอเมริกา และการอ่อนค่าของเงินเยน ทำให้ราคายางปรับตัวขึ้นอย่างผิดปกติในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลกรีดยาง ที่วัตถุดิบจะต้องออกมาก และราคาควรปรับตัวลง การขายของธุรกิจยางจะต้องการมีการขายล่วงหน้าเป็นปกติ จากปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้ตามข้างต้น ทำให้ผลประกอบการปี 2555 เกิดขาดทุนจากการขายสินค้าล่วงหน้า และขาดทุนจากการซื้อขายสัญญาล่วงหน้ายางพารา แม้บริษัทฯ จะสามารถเพิ่มปริมาณขายได้ โดยปริมาณการขายน้ายางข้นมากกว่าปี 2554 ประมาณ 13% มีการผลิต และขายยางแท่ง STR 20 ที่เริ่มผลิต และขายในปี 2555 และในส่วนยางยืดมีปริมาณการขายมากกว่าปี 2554 ประมาณ 14%
นอกจากนี้ การปรับค่าแรง และเงินเดือนตามนโยบายของรัฐบาล ทำให้บริษัทมีการปรับโครงสร้างเงินเดือน และค่าแรงทั้งองค์กร เงินเดือนรวมในปี 2555 จึงสูงขึ้นกว่าปีก่อน 31 ล้านบาท ปี 2555 เมื่อเทียบกับปี 2554 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย และบริการ 16,446.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151.16 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 0.93% ต้นทุนขายและบริการ 15,841.58 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 514.61 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 3.36% ทำให้กลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้น 605.50 ล้านบาท ลดลง 363.45 ล้านบาท คิดเป็นลดลง 37.51% ด้านค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ค่าใช้จ่ายทางการเงิน และภาษีเงินได้นิติบุคคล มี 968.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.80 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 10.47% ค่าใช้จ่ายเหล่านี้สูงขึ้นเนื่องจากปริมาณการขายสูงขึ้นทาให้ค่าใช้จ่ายขายสูงขึ้น อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นกว่าปี 2554 และการใช้เงินทุนหมุนเวียนที่สูงขึ้นจากปริมาณการขายที่สูงขึ้น ทำให้ดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้อื่น 130.73 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากดอกเบี้ยรับ กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน และรายได้อื่นๆ