หัวหน้าพรรคฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการควบรวมแบงก์ SME กับธนาคารออมสิน แนะรัฐบาลรับผิดชอบหนี้เสียจากประชานิยม มั่นใจสถานะการเงินง่อนแง่นเกิดจากค่าแรง 300 พ่นพิษ ทำหนี้เสียพุ่ง 4 หมื่นล้าน จวก "โต้ง" เอาแต่ได้ โบ้ยไปให้เวิล์ดแบงก์ แต่ไม่ทำตามให้เลิกประชานิยมกระทบธนาคารรัฐ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลัง อ้างว่าแนวคิดการควบรวมกิจการระหว่าง SME แบงก์กับธนาคารออมสินมาจากข้อเสนอของเวิล์ดแบงก์ว่า รัฐบาลมักจะหยิบเฉพาะส่วนที่เป็นประโยชน์สำหรับตัวเอง ทั้ง ๆ ที่เวิล์ดแบงก์มีการเสนอด้วยว่าให้รัฐบาลเร่งทบทวนนโยบายประชานิยมที่ใช้เงินจากธนาคารของรัฐอย่างไร้วินัยการเงินการคลังเพราะจะส่งผลกระทบต่อสถานะการเงินของธนาคารรัฐ แต่รัฐบาลกลับไม่มีการทบทวนนโยบายของตัวเอง ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุมากกว่าการควบรวมกิจการเข้าด้วยกัน ซึ่งตนไม่เห็นด้วยเพราะวัตถุประสงค์ของสองธนาคารไม่เหมือนกันและไม่อยากเห็นการแก้ปัญหาด้วยการควบรวมให้กับสถาบันใดสถาบันหนึ่ง เพราะเมื่อแบงก์ SME ต้องขาดทุนหรือมีความเสียหายจากการปฏิบัติตามนโยบายรัฐบาลก็มีกติกาที่ชัดเจนว่า กระทรวงการคลังต้องทำให้เกิดความโปร่งใสตั้งแต่ต้น คือ ส่วนใดที่เป็นไปตามนโยบายเพื่อช่วยเหลือคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็ต้องแยกบัญชีออกมาโดยรัฐบาลเป็นผู้รับความเสียหายด้วยการชดเชยงบประมาณให้
นายอภิสิทธิ์ยังเชื่อด้วยว่าสาเหตุที่ทำให้หนี้เสียพุ่งสูงขึ้นถึง 40,000 ล้านบาทในปีนี้เกิดจากผลกระทบค่อนข้างแรงในเรื่องค่าแรง 300 บาท ดังนั้นรัฐบาลต้องรับผิดชอบเพราะเป็นการปฏิบัติตามนโยบาย และรัฐบาลต้องย้อนกลับไปดูนโยบายที่มีปัญหาทั้งหมด ซึ่งตนเคยยืนยันแล้วว่าหลายกรณีที่รัฐบาลช่วยเหลือด้วยการให้กู้เงินนั้นแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะถ้ากิจการไปต่อไม่ได้ก็ไม่อยากกู้เพราะหนี้เพิ่มและยังไม่มีหลักประกันด้วยว่าจะมีศักยภาพในการชำระหนี้ได้
"จากปัญหาสถานะทางการเงินของแบงก์ SME สะท้อนให้เห็นว่า SME ต้องได้รับการสนับสนุนให้ถูกวิธี และนโยบายต่าง ๆ จะต้องคำนึงถึงผลกระทบที่จะตามมาด้วย ถ้าเราทำนโยบายแล้วมาไล่แก้หลังจากที่เกิดผลกระทบแล้วไม่ถูกต้อง แต่ควรคิดก่อนออกนโยบายอย่างรอบคอบว่าจะมีผลกระทบอย่างไรหรือไม่" นายอภิสิทธิ์กล่าว