- แอล.พี.เอ็น.ฯ ประกาศรุกหนักตลาดคอนโดฯ ต่างจังหวัด พร้อมเดินหน้าปูพรมโครงการใหม่ในต่างจังหวัด 5 โครงการรวดในช่วงไตรมาส 2 มั่นใจทั้งปีรับรู้รายได้ตามเป้า 15,000 ล้านบาท แจงไตรมาสแรกรับรู้ก่อน 2,000 ล้านบาท ไตรมาส 2-3 รับรู้เพิ่มอีก 10,000 ล้านบาท จาก 3 โครงการ สุขุมวิท109, บางนา, จอมเทียน ย้ำเป้าขายทั้งปี 20,000 ล้านบาท
นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPNเปิดเผยว่า ในปี 2556 นี้ยังคงมีแผนจะรุกขยายฐานลูกค้าไปสู่ต่างจังหวัดมากขึ้น โดยปีนี้ แอล.พี.เอ็น.ฯ มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่รวม 13 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ ประกอบด้วย 2 โครงการที่ อ.ชะอำ จังหวัดเพชรบุรี 1 โครงการใน อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขรรค์ 1 โครงการที่หาดจอมเทียน เมืองพัทยา และอีก 1 โครงการ ในจังหวัดอุดรธานี โดยทั้ง 5 โครงการในต่างจังหวัดจะเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้
ส่วนที่เหลืออีก 7 โครงการ จะเปิดตัวในกรุงเทพฯ โดยในไตรมาสแรกจะเปิดตัวโครงการลุมพินี คอนโดทาวน์ ลาดปลาเค้า มูลค่า 550 ล้านบาท และโครงการลุมพินีวิลล์สุขสวัสดิ์ มูลค่า 2,000 ล้านบาท ส่วนในไตรมาสที่ 3 จะเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มอีก 2 โครงการ คือ โครงการที่สุขุมวิท 24 โดยจะพัฒนาเป็นห้องชุด จำนวน1,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 3,000 ล้านบาท หรือมีราคาขายเริ่มต้น 150,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) หรือยูนิตละ 3 ล้านบาท และโครงการลุมพินีทาวน์ชิป ซึ่งมีจำนวน10,000 ยูนิต จำนวน 50 อาคาร บนพื้นที่โครงการ 100 ไร่ โดยมีราคาขายเริ่มต้น 6 แสนบาท มูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท
สำหรับในปี 56 นี้ แอล.พี.เอ็น.ฯ ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมที่ 20,000 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้รวมที่ 15,000 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกนี้บริษัทประมาณการว่าจะมีรายได้รับรู้ที่ 2,000 ล้านบาท และในไตรมาสที่ 2 และ 3 นี้ บริษัทประมาณการว่าจะรายได้รับรู้เข้ามาประมาณ 10,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการรับรู้รายได้สูงสุดในช่วงปีนี้ โดยรายได้รับรู้ดังกล่าวจะมาจากโครงการที่สุขุมวิท109, โครงการคอนโดทาวน์จอมเทียน, โครงการลุมพินีวิลล์บางนา
นายโอภาส กล่าวว่า เพื่อเป็นการศึกษาความต้องการ และความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการในจังหวัดต่างๆ ของบริษัท ในปีนี้จึงได้ตั้งศูนย์วิจัยและพัฒนาแอล.พี.เอ็น.ขึ้น เพื่อศึกษาข้อมูลต่างๆ อย่างรอบด้านในจังหวัดเป้าหมายก่อนการลงทุนเปิดโครงการในต่างจังหวัด ซึ่งจากการศึกษาข้อมูลของฝ่ายวิจัยและพัฒนา พบว่า ณ ปัจจุบัน อสังหาฯในจังหวัดอุดรธานีซึ่งเป็นจังหวัดแรกในภาคอีสานที่ศูนย์วิจัยได้ลงพื้นที่ศึกษาข้อมูล พบว่า มีความต้องการที่พักอาศัยที่มีคุณภาพอยู่จำนวนมาก แต่ด้วยราคาที่สูงเกินไป ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายการพัฒนาโครงการของบริษัท ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ประกอบกับที่ดินในใจกลางเมืองปรับตัวสูงมากจนไม่สามารถพัฒนาโครงการแนวราบได้แล้ว ตลาดอสังหาริมทรัพย์อุดรฯ จึงเหมาะสมกับการลงทุนอย่างมาก ดังนั้น บริษัทจึงตัดสินใจลงทุนพัฒนาโครงการในจังหวัดอุดรธานีขึ้น