แรงเทขายทำกำไรกดดัชนหุ้นไทยรูด 6.39 จุด หลังปรับตัวบวกจากข่าวญี่ปุ่นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โบรกฯ แนะจับตาธนาคารกลางสหรัฐฯ ในการเจรจาขยายเพดานหนี้ชั่วคราว 3 เดือน พร้อมระมัดระวังการลงทุน ชี้หุ้นใหญ่ราคาร่วง ถือเป็นโอกาส
ตลาดหุ้นไทย วันนี้(22 ม.ค.) ปรับตัวผันผวนอย่างรุนแรง จากปิดบวกในการซื้อขายครึ่งวันเช้า 7.36 จุด แต่พอการซื้อขายในช่วงบ่ายกลับปรับตัวลดลง จนปิดที่ระดับ 1,434.09 จุด ลดลง 6.39 จุด หรือ -0.44% มูลค่าการซื้อขาย 55,107.90 ล้านบาท ภาพรวมคาดเป็นการเทขายทำกำไรระยะสั้น หลังจากช่วงเช้ามีข่าวดีว่าญี่ป่นได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยระหว่างวัน ดัชนีแตะจุดสูงสุดที่ระดับ 1,451.06 จุด และต่ำสุดที่ 1,433.73 จุด
หลักทรัพย์เปลี่ยนแปลงวันนี้ เพิ่มขึ้น 225 หลักทรัพย์ ลดลง 464 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 105 หลักทรัพย์
ส่วนหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุด 5 อันดับแรก BJC มูลค่าการซื้อขาย 2,284.92 ล้านบาท ปิดที่ 69.00 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท N-PARK มูลค่าการซื้อขาย 2,217.04 ล้านบาท ปิดที่ 0.12 บาท ลดลง 0.02 บาท KTB มูลค่าการซื้อขาย 1,918.60 ล้านบาท ปิดที่ 21.30 บาท เพิ่มขึ้น 0.80 บาท TRUE มูลค่าการซื้อขาย 1,615.17 ล้านบาท ปิดที่ 5.75 บาท ลดลง 0.35 บาท และ UV มูลค่าการซื้อขาย 1,431.72 ล้านบาท ปิดที่ 15.10 บาท ลดลง 1.50 บาท
ทั้งนี้ พบว่าสถาบันซื้อสุทธิ 1,006.70 ล้านบาท รองลงมาคือนักลงทุนต่างชาติ ซื้อสุทธิ 777.43 ล้านบาท นักลงทุนทั่วไปขายสุทธิ 1,621.71 ล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ขายสุทธิ 162.41 ล้านบาท
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนในกรอบจำกัด และเคลื่อนไหวบวก-ลบสลับกัน เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชีย โดยช่วงจังหวะที่ตลาดเป็นลบเกิดจากแรงขายทำกำไรหลังจากที่ตลาดขึ้นมาแรง และสามารถดีดกลับมาเป็นบวกได้เพราะรับผลจากการประชุมธนาคารกลางของญี่ปุ่น (BOJ) ที่ได้ประกาศมาตรการผ่อนคลายนโยบายการเงินต่อเนื่อง ซึ่งเป็นปัจจัยหนุนตลาด ทำให้ sentiment ตลาดดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ BOJ ประกาศมาตรการผ่อนคลายออกมานั้น ไม่ได้กำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน ทำให้สะท้อนถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังอ่อนแอ และเกิดความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลก ทำให้ตลาดฯ เคลื่อนไหวในแดนบวก-ลบในกรอบจำกัด
นายกิจพล ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรับแรงขายทำกำไรในลักษณะ Sell on Fact เช่นเดียวกับตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียที่ดัชนีติดลบประมาณ 0.5-1% แต่โดยรวมตลาดหุ้นไทยยังดีกว่าตลาดอื่นในเอเชีย หลังรับผลจากญี่ปุ่นมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาตามที่คาดไว้ ในการเดินหน้าในการซื้อสินทรัพย์และปรับเป้าหมายเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นเป็น 2% ทำให้ในระยะสั้นกระแสเงินทุนไหลเข้าเมื่อได้รับข่าวนี้แล้วเกิดแรงขายทำกำไรออกมา
อย่างไรก็ดี ยังต้องติดตามการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในการเจรจาขยายเพดานหนี้ชั่วคราว 3 เดือน ซึ่งมองว่าผลที่ออกมาเป็นแค่เรื่องชั่วคราว แม้ว่าจะเป็นข่าวดีแต่ตลาดยังให้น้ำหนักน้อย แต่หากเป็นข่าวร้ายตลาดจะตอบรับมากกว่า ดังนั้น แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (23 ม.ค.) ดัชนีอาจเจอแรงขายทำกำไรอย่างต่อเนื่อง แนะให้นักลงทุนเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุน แต่การปรับตัวลงเป็นจังหวะในการซื้อหุ้นขนาดใหญ่เป็นรายตัว โดยเป็นการซื้อในเชิงตั้งรับ ไม่ไล่ราคา แนวต้าน 1,450 จุด แนวรับ 1,420 จุด