พรีเมียร์ โพรดักส์ คาดขายหุ้นไอพีโอ 82 ล้านหุ้น ปลายเดือน ม.ค. เข้าเทรด ก.พ.นี้ ขณะนี้อยู่ระหว่างโรดโชว์นักลงทุนสถาบัน-รออนุมัติไฟลิ่งจาก ก.ล.ต. ด้านผู้บริหารตั้งเป้ารายได้รวมปี 56 โตประมาณ 30% จากปี 55 ที่คาดโต 50% เหตุธุรกิจบำบัดน้ำเสียเติบโตตามธุรกิจอสังหาริมทรัพย์-รับรู้รายได้โรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง พร้อมศึกษานำโรงไฟฟ้า 3 แห่ง ขายเข้ากองทุนโครงสร้างพื้นฐาน
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นจำนวน 82 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตีราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ และคาดว่าจะเข้าเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน ประมาณ 10 แห่ง และการอนุมัติจากแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ ส่วนหนึ่งนี้บริษัทจะนำไปชำระราคาซื้อหุ้นบริษัทอินฟิท กรีน จำกัด หรือ IGC ซึ่งทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ยังค้างอยู่จำนวน 200 ล้านบาท จาก บริษัท พรีเมียร์ เมโทรบัส จำกัด (PMB ) ทำให้ภายหลังการชำระราคาหุ้นครั้งนี้ บริษัทจะถือหุ้นใน IGC เป็น 69% ของทุนชำระแล้วของIGC ส่วนเงินที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
สำหรับผลประกอบการปี 2556 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปี2555 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 50% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวม 916.14 ล้านบาท ซึ่ง 9เดือนแรกปี 2555 มีรายได้รวม 993.51 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท เนื่องจาก ธุรกิจหลักคือ การผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบสำรองน้ำ และธุรกิจผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างนั้น มีการเติบโตตามอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปีนี้มีการเติบโตที่สูง
ขณะที่ธุรกิจใหม่ 2 ธุรกิจคือ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีที่แล้ว ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ปีนี้จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง กำลังผลิตแห่งละ 5.86 เมกะวัตต์ จากปีก่อนที่รับรู้เพียง 1 แห่งทั้งนั้น โดยคาดว่าจะรับรายได้ประมาณ 90-100 ล้านบาท
“ปี56 บริษัทคาดรายได้รวมโตประมาณ 30% จาก 2 ธุรกิจเดิมเติบโต และรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง ในไตรมาส 2/56 จากปีก่อนรับรู้เพียง 1 แห่งเดียว โดยปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าบำบัดน้ำเสียไปต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และส่งออกผนังกั้นเสียงไปออสเตรเลีย และญี่ป่น โดยสัดส่วนส่งออกคิดเป็น 7% ของรายได้รวม ภาพรวมบริษัทมีกรอสมาร์จิ้น 30% ขณะที่มีเน็ตมาร์จิ้น 6% จาก 9 เดือนปี 55 คาดปีนี้เน็ตมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง” นายสุรเดชกล่าว
นายสุรเดช กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทหวังที่จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม จำนวน 50 เมกะวัตต์ จากไตรมาส 2/56 ปีนี้ที่จะมีรวม 17.35 เมกะวัตต์ แล้ว บริษัทกำลังศึกษาสร้างโรงไฟฟ้าโรงที่ 4 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เพื่อเป็นช่องทางการระดมทุน โดยบริษัทได้มีการจัดตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เบื้องต้น หากมีการออกเสนอขายกองทุนก็จะนำรายได้จากโรงไฟฟ้า 3 แห่ง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากบริษัทมีการเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เงินที่ได้มาบริษัทจะไปชำระหนี้แก่สถาบันการเงินที่กู้ยืมมาเพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า จำนวน 1,000 ล้านบาท
นายสุรเดช บุณยวัฒน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีเมียร์ โพรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PPP เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าจะเสนอขายหุ้นจำนวน 82 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตีราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท ในช่วงปลายเดือนมกราคมนี้ และคาดว่าจะเข้าเสนอขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ประมาณเดือนกุมภาพันธ์ ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเดินสายให้ข้อมูลแก่นักลงทุนสถาบัน ประมาณ 10 แห่ง และการอนุมัติจากแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)
ทั้งนี้ เงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ ส่วนหนึ่งนี้บริษัทจะนำไปชำระราคาซื้อหุ้นบริษัทอินฟิท กรีน จำกัด หรือ IGC ซึ่งทำธุรกิจผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ที่ยังค้างอยู่จำนวน 200 ล้านบาท จาก บริษัท พรีเมียร์ เมโทรบัส จำกัด (PMB ) ทำให้ภายหลังการชำระราคาหุ้นครั้งนี้ บริษัทจะถือหุ้นใน IGC เป็น 69% ของทุนชำระแล้วของIGC ส่วนเงินที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของบริษัท
สำหรับผลประกอบการปี 2556 คาดว่ารายได้รวมจะเติบโตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% จากปี2555 ที่คาดว่าจะโตประมาณ 50% จากปี 2554 ที่มีรายได้รวม 916.14 ล้านบาท ซึ่ง 9เดือนแรกปี 2555 มีรายได้รวม 993.51 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 50 ล้านบาท เนื่องจาก ธุรกิจหลักคือ การผลิต และจำหน่ายผลิตภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมด้านระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบสำรองน้ำ และธุรกิจผลิตจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างนั้น มีการเติบโตตามอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ซึ่งปีนี้มีการเติบโตที่สูง
ขณะที่ธุรกิจใหม่ 2 ธุรกิจคือ การจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีคุณสมบัติประหยัดพลังงาน ซึ่งมียอดขายเพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีที่แล้ว ส่วนธุรกิจผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ปีนี้จะรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง กำลังผลิตแห่งละ 5.86 เมกะวัตต์ จากปีก่อนที่รับรู้เพียง 1 แห่งทั้งนั้น โดยคาดว่าจะรับรายได้ประมาณ 90-100 ล้านบาท
“ปี56 บริษัทคาดรายได้รวมโตประมาณ 30% จาก 2 ธุรกิจเดิมเติบโต และรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง ในไตรมาส 2/56 จากปีก่อนรับรู้เพียง 1 แห่งเดียว โดยปัจจุบันบริษัทมีการส่งออกสินค้าบำบัดน้ำเสียไปต่างประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ และส่งออกผนังกั้นเสียงไปออสเตรเลีย และญี่ป่น โดยสัดส่วนส่งออกคิดเป็น 7% ของรายได้รวม ภาพรวมบริษัทมีกรอสมาร์จิ้น 30% ขณะที่มีเน็ตมาร์จิ้น 6% จาก 9 เดือนปี 55 คาดปีนี้เน็ตมาร์จิ้นเพิ่มขึ้นเป็น 10% จากรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าอีก 2 แห่ง” นายสุรเดชกล่าว
นายสุรเดช กล่าวว่า ในอนาคตบริษัทหวังที่จะมีการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์รวม จำนวน 50 เมกะวัตต์ จากไตรมาส 2/56 ปีนี้ที่จะมีรวม 17.35 เมกะวัตต์ แล้ว บริษัทกำลังศึกษาสร้างโรงไฟฟ้าโรงที่ 4 ที่จังหวัดฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ บริษัทมีแผนที่จะจัดตั้งกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure Fund) เพื่อเป็นช่องทางการระดมทุน โดยบริษัทได้มีการจัดตั้งที่ปรึกษาทางการเงิน เบื้องต้น หากมีการออกเสนอขายกองทุนก็จะนำรายได้จากโรงไฟฟ้า 3 แห่ง มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ หากบริษัทมีการเสนอขายกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน เงินที่ได้มาบริษัทจะไปชำระหนี้แก่สถาบันการเงินที่กู้ยืมมาเพื่อลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า จำนวน 1,000 ล้านบาท