xs
xsm
sm
md
lg

“เทมาเส็ก” พุงกาง! ทิ้งหุ้นชินรับเละ 2 หมื่นล้าน นอนกินปันผล 7 ปีโกย 7.2 หมื่นล้าน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เทมาเส็ก” ลดสัดส่วนลงทุน “ธุรกิจสื่อสาร” สั่ง “ซีดาร์ โฮลดิ้งส์” ตัดขายหุ้นชินคอร์ป 10.3% มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท หลังฟรีโฟลตพุ่ง โกยเงินปันผลตั้งแต่ปี 48 ที่เข้าซื้อ หากรวมแล้วเป็นเงินกว่า 7.2 หมื่นล้าน

นายสมประสงค์ บุญยะชัย กรรมการ บริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ INTUCH แจ้งว่า บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของ INTUCH ได้ดำเนินการขายหุ้นบางส่วนที่ถืออยู่ในบริษัท เป็นจำนวน 330 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 10.3 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท โดยขายให้แก่นักลงทุนไทยประมาณในสัดส่วนร้อยละ 20 และบริษัทไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด ซึ่งขายในราคาเฉลี่ยประมาณ 62.75-63.75 บาท/หุ้น โดยมีบริษัทเครดิตสวิสฯ เป็นที่ปรึกษา ทั้งนี้ คาดว่าจะได้เงินจากการขายครั้งนี้ 21,037.5 ล้านบาท

สำหรับสัดส่วนที่เหลือของจำนวนหุ้นภายหลังจากการขายหุ้นในครั้งนี้ เป็นผลให้ซีดาร์ฯ เป็นผู้ถือหุ้นในบริษัท จำนวน 428,049,239 หุ้น หรือคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 13.3 ของหุ้นทั้งหมดของบริษัท

ขณะเดียวกัน เพื่อให้สามารถตอบข้อซักถาม หรือข้อสงสัยที่อาจมีขึ้นได้จากผู้ถือหุ้นรายย่อย ประชาชน หรือผู้เกี่ยวข้องอื่นๆ บริษัทจึงได้สอบถามไปยังบริษัท แอสเพน โฮลดิ้งส์ จำกัด (แอสเพน) ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่อีกรายหนึ่งในสัดส่วน 41.62% ของบริษัทว่ามีความประสงค์ที่จะขายหุ้นของบริษัทที่แอสเพนถืออยู่ด้วยหรือไม่ ซึ่งทางแอสเพนได้แจ้งลับมายังบริษัทว่า แอสเพนยังไม่มีแผนที่จะขายหุ้นของบริษัทในระยะเวลานี้ และแอสเพนยังมีความมั่นใจในธุรกิจ และผู้บริหารของบริษัท

ล่าสุด ปิดตลาดราคาหุ้น INTUCH ปิดที่ 65.25 บาท ลดลง 1.75 บาท หรือ 2.61% มูลค่าการซื้อขาย 2.711 หมื่นล้านบาท ขณะที่ ADVANC ปิดที่ 197.00 บาท ลดลง 4.00 บาท หรือ 1.99% มูลค่าการซื้อขาย 2.67 พันล้านบาท

รายงานข่าวซึ่งอ้างเอกสารที่ส่งถึงบรรดานักลงทุนระบุว่า เทมาเส็ก โฮลดิงส์ และหุ้นส่วนในบริษัทซีดาร์ โฮลดิงส์ ได้ประกาศขายหุ้นของชิน คอร์ป จำนวน “330 ล้านหุ้น” ที่ตนถือครองอยู่ ในราคาซึ่งคิดเป็นเงินไทย 63.25 บาทต่อหุ้น ก่อนที่หุ้นทั้งหมดจะถูกขายออกไปในราคาที่ลดลง 5.6% เมื่อวันพุธ (9 ม.ค.) โดยมีกลุ่มเครดิตสวิสของสวิตเซอร์แลนด์ และธนาคารมอร์แกน สแตนลีย์ ของสหรัฐฯ เป็นผู้ดำเนินการ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสอดคล้องกับคำแถลงก่อนหน้านี้ของ “มาดามโฮ” หรือนางโฮ ชิง ซึ่งเป็นซีอีโอของเทมาเส็ก โฮลดิงส์ และยังเป็นภริยาของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แห่งสิงคโปร์ที่ว่าทางเทมาเส็กกำลังต้องการลดสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจด้านโทรคมนาคมทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกลง เนื่องจากมีทิศทางด้านการลงทุนที่ไม่สดใส

ก่อนหน้านี้ เทมาเส็ก โฮลดิงส์ ซึ่งมีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารทั้งหมดกว่า 161,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 4.9 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่ผ่านมา เพิ่งขายหุ้นของสิงคโปร์ เทเลคอมมิวนิเคชันส์ หรือ “SingTel” ยักษ์ใหญ่ด้านโทรคมนาคมของสิงคโปร์ไปเมื่อปีที่ผ่านมา

ทั้งนี้ บริษัทชิน คอร์ป ก่อตั้งโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยที่ถูกกองทัพโค่นอำนาจ และอยู่ระหว่างหลบหนีคดีทุจริตในต่างแดน โดยรายได้เกือบ 40% ของชิน คอร์ปมาจากบริษัทในเครือที่เป็นผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่รายใหญ่ที่สุดของไทย นอกจากนั้น ชิน คอร์ป ยังถือหุ้นอีก 41% ในบริษัทดาวเทียมไทยคม

นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตุว่า การลดสัดส่วนของกลุ่มเทมาเส็กเป็นนโยบายการลงทุนที่วางเป้าหมายลดสัดส่วนในการทยอยสดสัดส่วนตั้งแต่ช่วงประมาณกลางปี 2554 โดยปัจจุบัน เทมาเส็ก ถือหุ้นใน บมจ.ชินคอร์ป ประมาณ 70% จากเดิม 96% แต่ถ้าดูในเชิงของปันผล พบว่า ทางกลุ่มเทมาเส็กเริ่มได้รับเงินปันผลมาตั้งแต่ครึ่งหลังของปี 2548 จนถึงถึงครึ่งปีแรกของปี 2555 ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 72,000 ล้านบาท จะได้เงินปันผลโดยรวมทั้งหมดไปแล้วประมาณ 25 สตางค์ 25 เศษๆ 25.25 สตางค์ต่อหุ้น เพราะฉะนั้น คิดเป็นมูลค่าเฉพาะเงินปันผลมันจะตกประมาณ 72,000 ล้านบาท และถ้าดูแวลูในตัวของเชิงมูลค่าหุ้นจะอยู่ที่ประมาณ 153,000 ล้านบาท รวมสุทธิทางกลุ่มนี้จะได้เม็ดเงินไปประมาณ 225,000 ล้านบาท ในขณะที่ต้นทุนในการซื้อตอนนั้นประมาณ 79,000 ล้านบาท

ด้าน บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า การขายหุ้นของ บริษัท ซีดาร์ โฮลดิ้งส์ จำกัดได้ส่งผลให้ Free Float ของหุ้น INTUCH ปรับตัวสูงขึ้นจากเดิม 34.8% เป็น 45.1% ซึ่งทำให้ข้อจำกัดในเรื่องปัญหาหุ้นขาดสภาพคล่องดังที่เคยเกิดขึ้นในอดีตถูกกำจัดไป โดยสภาพคล่องของหุ้น INTUCH ล่าสุดใกล้เคียงกับในอดีต ซึ่งเคยมี Free Float สูงราว 50% ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนโครงสร้างการถือหุ้นของกลุ่ม INTUCH ในช่วงปี 2549 ซึ่งถือเป็นประเด็นทำให้ INTUCH กลายเป็นหุ้นตัวหนึ่งที่มีสภาพคล่องหมุนเวียนในตลาดสูงมากบริษัทหนึ่ง และทำให้เกิดความน่าสนใจลงทุนมากขึ้นในสายตาของนักลงทุนประเภทสถาบัน ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ


กำลังโหลดความคิดเห็น