“โฮลซิม” ตัดขายหุ้นปูนนครหลวง 9.3% ให้กลุ่ม “รัตนรักษ์” หลังเข้าลงทุนตั้งแต่ปี 40 แต่ยังคงถืออยู่อีก 27% ผู้บริหารแจงไม่กระทบการบริหารงาน
นายวีระพันธุ์ ทีปสุวรรณ ประธานกรรมการ บริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) (SCCC) เปิดเผยว่า ตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ได้ขอให้บริษัทชี้แจงข่าวกรณีบริษัท โฮลซิม (HOLCIM) ได้ขายหุ้นบริษัทในสัดส่วน 9.3% ให้แก่ บริษัท กรุงเทพโทรทัศน์และวิทยุ จำกัด (บีบีทีวี) ผู้บริหารสถานีโทรทัศน์สีกองทัพบกช่อง 7 ขอชี้แจงว่า การซื้อขายหุ้นครั้งนี้ส่งผลให้สัดส่วนการถือหุ้นของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท 2 รายเปลี่ยนแปลง โดยบริษัทในกลุ่มรัตนรักษ์ จะถือหุ้นประมาณ 45.4% และกลุ่มโฮลซิม จะยังคงถือหุ้น 27.5%
กลุ่มรัตนรักษ์ยังไม่ต้องทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมด (เทนเดอร์ ออฟเฟอร์) เนื่องจากการถือครองยังไม่ถึงกึ่งหนึ่งของทุน และการซื้อขายครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงาน
สำหรับเหตุผลที่บีบีทีวี ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มรัตนรักษ์ในการเข้าซื้อหุ้นจำนวนดังกล่าวนั้น สืบเนื่องจากโฮลซิมได้เข้าลงทุนในบริษัทหลังวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้นปี 2540 เป็นระยะเวลายาวนานกว่า 13 ปี โดยได้มีส่วนช่วยฟื้นฟูผลประกอบการ และโครงสร้างการเงินของบริษัทให้ดีเด่นมั่นคงอย่างน่าพอใจ ดังนั้น เมื่อโฮลซิมต้องจะขายหุ้นออกไปบางส่วนบริษัทในกลุ่มรัตนรักษ์จึงได้ตัดสินใจให้ความสนับสนุนทันทีด้วยมีสภาพคล่อง และฐานะการเงินที่สามารถรองรับได้
ส่วนประเด็นหากมีการจะซื้อหุ้นบริษัทที่โฮลซิมยังถือเหลืออยู่ จะต้องทำเทนเดอร์ ออฟเฟอร์นั้น ปัจจุบัน โฮลซิม ยังไม่ได้เสนอขายหุ้น 27.5% ที่ถือเหลืออยู่ จึงยังไม่เป็นประเด็นที่จะต้องพิจารณา
ทั้งนี้ บริษัทขอแจ้งให้ทราบว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติเมื่อวันที่ 21 ธ.ค. รับทราบการลาออกจากตำแหน่งกรรมการ และรับทราบการพ้นจากตำแหน่งพนักงาน ตำแหน่งรองประธานคณะผู้บริหาร ของ น.ส.จันทนา สุขุมานนท์ ซึ่งจะมีผลในวันที่ 1 ม.ค.2556
บล.เอเซีย พลัส วิเคราะห์ว่า จากกรณีที่โฮลซิม ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง สัดส่วน 36.8% ประกาศขายหุ้น 21.39 ล้านหุ้น หรือ 9.3% ให้แก่บริษัท บางกอกฯ ซึ่งเป็นบริษัทในกลุ่มรัตนรักษ์ โดยภายหลังการถือหุ้นดังกล่าว โฮลซิม จะมีสัดส่วนการถือหุ้นในปูนซีเมนต์นครหลวงลดลงเหลือ 27.5%
ขณะที่กลุ่มรัตนรักษ์จะมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 45.4% โดยการซื้อขายดังกล่าว จะไม่มีผลกระทบต่อการบริหารงานของบริษัท และการที่โฮลซิมตัดสินใจขายหุ้นในครั้งนี้ เป็นส่วนหนึ่งในแผนการปรับโครงสร้างการเงินของโฮลซิม จากปัญหาวิกฤตหนี้ในยุโรปที่เกิดขึ้น ด้วยการขายทรัพย์สินในประเทศไทย และกัวเตมาลาออกบางส่วน โดยโฮลซิม จะได้รับเงินเข้ามา 410 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1.23 หมื่นล้านบาท)
การซื้อขายหุ้นบางส่วนออกไป จะไม่กระทบต่อนโยบายการบริหารงานของบริษัท เนื่องจากทั้งกลุ่มโฮลซิม และกลุ่มรัตนรักษ์ ถือเป็นผู้ถือหุ้นเดิมอยู่แล้ว โดยปูนซีเมนต์นครหลวง ยังคงมีแผนการที่จะขยายการลงทุน ทั้งในประเทศไทย ด้วยการเตรียมรีโนเวต เตาเผาปูนขนาดเล็กที่ปิดการผลิตไปตั้งแต่ปี 2551 มาผลิตใหม่ในช่วงปลายปี 2556 รวมถึงการลงทุนก่อสร้างโรงปูนซีเมนต์แห่งใหม่ในประเทศกัมพูชา เพื่อรองรับการเติบโตของการบริโภคปูนซีเมนต์ในภูมิภาคอาเซียน
โดยฝ่ายวิจัยคาดการณ์ว่า บริษัทจะมีผลกำไรที่เติบโต 12% ในปี 2556 จากแรงหนุนของภาคการก่อสร้างในประเทศที่เติบโต อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปัจจุบันที่ซื้อขายกันที่ PER ปี 2556 สูงถึง 22 เท่า ถือว่าแพง เทียบกับปูนซิเมนต์ไทย (SCC) ที่มีค่า PER 15 เท่า จึงแนะนำขาย