นักวิเคราะห์เชื่อหุ้นไทยปีหน้า ดัชนีแตะ 1,450-1,500 จุด จากภาพรวมเศรษฐกิจไทยเติบโต อัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ชี้ P/E หุ้นไทยยังถูกกว่าตลาดอื่นในอาเซียน มั่นใจเป็นจุดดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติเข้าไทย ส่วนปลายปีจะได้เม็ดเงินจากแอลทีเอฟมาหนุนดัชนี แต่ปีหน้าต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น
นายไพบูลย์ นลินทรางกรู นายกสมาคมนักวิเคราะห์กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ว่า ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากปัจจุบันถือเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นจากนี้ไปยังเป็นเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรป สหรัฐฯ และจีน
ทั้งนี้ ภาพรวมเชื่อว่าในช่วงปลายปีตลาดหุ้นไทยจะมีเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มขึ้นจากเงินของกองทุนแอลทีเอฟ ทำให้ประเมินว่าปีนี้ ดัชนีน่าจะยืนเหนือ 1,300 จุด และในปี 2556 มีโอกาสเห็นดัชนีในระดับ 1,400-1,500 จุดได้ จากเศรษฐกิจไทยที่ยังมีโอกาสเติบโตอัตราการกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ราคาหุ้นไทยในปัจจุบันมองว่า ยังไม่แพงหากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ปัจจุบัน P/E หุ้นไทยอยู่ที่ 11 เท่า ขณะที่อาเซียนอยู่ประมาณ 14 เท่าถือว่าถูก และเชื่อว่าจะเป็นจุดสร้างความสนใจให้นักลงทุนต่างชาติหันเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มเติมอีกด้วย”
น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กบข. กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ภาพรวมในปีนี้เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,400 จุดได้ ขณะที่ปี 2556 ก็มีโอกาสเห็น 1,480 จุดเพราะมองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโต
อย่างไรก็ตาม มองว่าต่อจากนี้ไปนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกลงทุนหุ้นแบบรายตัวมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มเดียวกัน แต่ราคาหุ้น และมูลค่าพื้นฐานของหุ้นแตกต่างกัน
“ต่อไปการลงหุ้นเราคงต้องดูไส้ในของหุ้นด้วยว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไป 1,300 กว่าจุด หรือใกล้ถึง 1,400 จุด ภาพรวมหุ้นในกลุ่มบิ๊กแคปยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจอยู่”
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นไทยปีหน้า นักลงทุนต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยปีหน้าที่ 1,450 จุด อัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนโตขึ้นประมาณ 15% ขณะเดียวกัน มองว่าหุ้นในตลาดต่างประเทศหลายแห่งมีราคาถูก และมีความน่าสนใจเช่นกัน เช่น หุ้นในสหรัฐฯ อย่างแอปเปิล ไมโครซอฟท์ หรือ หุ้นในตลาดหุ้นจีน อย่างกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจเข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านี้โดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นของประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว
นายไพบูลย์ นลินทรางกรู นายกสมาคมนักวิเคราะห์กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทย ว่า ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากจากปัจจุบันถือเป็นอันดับ 1 ในอาเซียน และเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดหุ้นจากนี้ไปยังเป็นเรื่องสถานการณ์เศรษฐกิจในยุโรป สหรัฐฯ และจีน
ทั้งนี้ ภาพรวมเชื่อว่าในช่วงปลายปีตลาดหุ้นไทยจะมีเม็ดเงินเข้ามาเพิ่มขึ้นจากเงินของกองทุนแอลทีเอฟ ทำให้ประเมินว่าปีนี้ ดัชนีน่าจะยืนเหนือ 1,300 จุด และในปี 2556 มีโอกาสเห็นดัชนีในระดับ 1,400-1,500 จุดได้ จากเศรษฐกิจไทยที่ยังมีโอกาสเติบโตอัตราการกำไรของบริษัทจดทะเบียนยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น
“ราคาหุ้นไทยในปัจจุบันมองว่า ยังไม่แพงหากเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาคเดียวกัน ปัจจุบัน P/E หุ้นไทยอยู่ที่ 11 เท่า ขณะที่อาเซียนอยู่ประมาณ 14 เท่าถือว่าถูก และเชื่อว่าจะเป็นจุดสร้างความสนใจให้นักลงทุนต่างชาติหันเข้ามาลงทุนในหุ้นไทยเพิ่มเติมอีกด้วย”
น.ส.โสภาวดี เลิศมนัสชัย เลขาธิการ กบข. กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยว่า ภาพรวมในปีนี้เชื่อว่าดัชนีหุ้นไทยมีโอกาสขึ้นไปถึง 1,400 จุดได้ ขณะที่ปี 2556 ก็มีโอกาสเห็น 1,480 จุดเพราะมองว่าเศรษฐกิจของประเทศไทยยังคงแข็งแกร่ง และมีโอกาสเติบโต
อย่างไรก็ตาม มองว่าต่อจากนี้ไปนักลงทุนจำเป็นต้องเลือกลงทุนหุ้นแบบรายตัวมากขึ้น แม้ว่าจะเป็นหุ้นในกลุ่มเดียวกัน แต่ราคาหุ้น และมูลค่าพื้นฐานของหุ้นแตกต่างกัน
“ต่อไปการลงหุ้นเราคงต้องดูไส้ในของหุ้นด้วยว่าเป็นเช่นไร โดยเฉพาะช่วงที่ดัชนีปรับตัวขึ้นไป 1,300 กว่าจุด หรือใกล้ถึง 1,400 จุด ภาพรวมหุ้นในกลุ่มบิ๊กแคปยังเป็นหุ้นที่น่าสนใจอยู่”
นายก้องเกียรติ โอภาสวงการ ประธานกรรมการบริหาร บล.เอเซียพลัส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การลงทุนในหุ้นไทยปีหน้า นักลงทุนต้องเลือกลงทุนหุ้นเป็นรายตัวมากขึ้น โดยประเมินดัชนีหุ้นไทยปีหน้าที่ 1,450 จุด อัตรากำไรของบริษัทจดทะเบียนโตขึ้นประมาณ 15% ขณะเดียวกัน มองว่าหุ้นในตลาดต่างประเทศหลายแห่งมีราคาถูก และมีความน่าสนใจเช่นกัน เช่น หุ้นในสหรัฐฯ อย่างแอปเปิล ไมโครซอฟท์ หรือ หุ้นในตลาดหุ้นจีน อย่างกลุ่มสื่อสาร และกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งอาจเข้าไปลงทุนในหุ้นเหล่านี้โดยตรง หรือลงทุนผ่านกองทุนรวมที่ลงทุนในหุ้นของประเทศเหล่านี้อยู่แล้ว