เอเยนซี - บรรดาผู้จัดการกองทุนจีน ให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า โดยปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น เป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) และยังเป็นช่วงก่อนที่รัฐบาลจีน จะเปลี่ยนตัวผู้นำครั้งแรกในรอบ 10 ปี
รอยเตอร์สรายงาน (1 ต.ค.) ผลสำรวจความเห็นของบรรดาผู้จัดการกองทุน 9 รายในจีน เมื่อช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าต่างให้ความสำคัญกับการลงทุนในหุ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า โดยกล่าวว่าควรอยู่ที่ร้อยละ 78.3 ของพอร์ทลงทุน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากระดับร้อยละ 76.1 เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา อันเป็นสัดส่วนที่ต่ำสุดในรอบ 26 เดือน
รายงานข่าวกล่าวว่า ผู้จัดการกองทุน ได้แนะนำการปรับเพิ่มสัดส่วนการลงทุนตราสารหนี้จากร้อยละ 11.2 เป็น 11.8 โดยลดสัดส่วนการถือครองเงินสดลงจากร้อยละ 12.7 เป็นร้อยละ 9.9
ทั้งนี้ แนวโน้มการปรับเพิ่มการลงทุนในหุ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนนี้ เกิดขึ้นในช่วงจังหวะหลังจากที่นายเบน เบอร์นันเก้ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการ QE3 เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งมาตรการดังกล่าว ช่วยกระตุ้นให้นักลงทุนทั่วโลกเข้าซื้อสินทรัพย์เสี่ยง ขณะเดียวกันก็เป็นการตัดสินใจในช่วงก่อนที่พรรคคอมมิวนิสต์จีน จะจัดประชุมใหญ่ครั้งที่ 18 อันมีวาระสำคัญของการเปลี่ยนตัวผู้นำครั้งแรกในรอบ 10 ปี ซึ่งหลายฝ่ายเชื่อว่า รัฐบาลอาจจะดำเนินมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหม่ หลังเปลี่ยนตัวผู้นำ อันจะทำให้นักลงทุนมีความเชื่อมั่นมากขึ้น
แม้ว่าในปีที่แล้ว ตลาดหุ้นจีน ได้ตกลงไปกว่าร้อยละ 22 และยังคงอยู่ในภาวะซบเซาในปีนี้ เช่นเดียวกับเศรษฐกิจจีนที่ชะลอหดตัวลง โดยมีอัตราการเติบโตในไตรมาส 2 เพียงร้อยละ 7.6 ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่ต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี แต่ผู้จัดการกองทุนคนหนึ่ง กล่าวว่า เงินทุนจำนวนมากจะไหลกลับเข้าสู่ตลาดเกิดใหม่ เพราะมาตรการ QE3 ช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อสินทรัพย์เสี่ยง และหลังการประชุมเปลี่ยนตัวผู้นำฯ ความอ่อนไหวทางการเมืองต่างๆ ก็น่าจะหมดสิ้นไป และความเชื่อมั่นต่างๆ ก็จะมีมากขึ้น มีเสถียรภาพมากขึ้น
ผลสำรวจความเห็นนี้ บรรดาผู้จัดการกองทุนแนะนำว่า สัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มต่างๆ นั้น จะเน้นสัดส่วนการลงทุนในหุ้นกลุ่มคมนาคมและโลหะ เพราะเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่รัฐบาลจีนได้ประกาศทุ่มงบฯ ออกมาในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา