“ดีเอ็นเอ 2002” ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน พร้อมแต่งตั้ง บล.คันทรี่กรุ๊ป เป็นแกนนำในการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของบริษัทฯ เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้นภายในปลายปีนี้
นายสามารถ ฉั่วศิริพัฒนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ประเภทภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ผ่านช่องทางร้านค้าปลีก เปิดเผยความคืบหน้าในการนำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ว่า หลังจากบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO)
โดยบริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน ล่าสุด บริษัทฯ ได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เป็นแกนนำในการจัดจำหน่าย และรับประกันการจำหน่ายหุ้นเพิ่มทุนของบริษัทฯ
ทั้งนี้ บริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้าสื่อโฮมเอนเตอร์เทนเมนต์ (Home Entertainment) ได้แก่ ภาพยนตร์ เพลง ที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์ในรูปแบบบลูเรย์ ดีวีดี วีซีดี และซีดี และสินค้าประเภทสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือพิมพ์ นิตยสารรายสัปดาห์ รายปักษ์ รายเดือน และพ็อกเกตบุ๊ก โดยสินค้าประเภทภาพยนตร์ และเพลงถือเป็นสินค้าหลักของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 85 ของรายได้รวม
กรรมการผู้จัดการ บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวว่า ที่ผ่านมา บริษัทฯใช้กลยุทธ์ในการเพิ่มจุดจำหน่ายสินค้าเป็นกลยุทธ์หลักในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เนื่องจากด้วยสินค้าของกลุ่มบริษัทฯ เป็นสื่อเพื่อความบันเทิงในครอบครัว ดังนั้น การกระจายจุดจำหน่ายสินค้าให้ครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้างนั้น จะเป็นการเพิ่มศักยภาพในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของกลุ่มบริษัทฯ เพิ่มขึ้น และส่งผลต่อการขยายตัวและการเติบโตของกลุ่มบริษัทฯ โดยปัจจุบัน บริษัทฯ มีช่องทางการจำหน่ายมากกว่า 1,432 สาขาครอบคลุมทั่วประเทศ
“กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จะเป็นลูกค้าบุคคลทั่วไปที่นิยมรับชมภาพยนตร์หรือฟังเพลงที่บ้านมากกว่าเข้าชมในโรงภาพยนตร์ หรือนิยมซื้อผลงานเพื่อเก็บสะสม ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยทำงานขึ้นไป เนื่องจากเป็นกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าที่ถูกต้องตามลิขสิทธิ์เพื่อให้ได้สินค้าที่มีคุณภาพ และมีรูปแบบการดำเนินชีวิตที่นิยมความคล่องตัวในการรับชม และรับฟังงานภาพยนตร์ และเพลง ทำให้นิยมซื้อแผ่นภาพยนตร์ และเพลงมากกว่าการดาวน์โหลดทางอินเทอร์เน็ต โดยบริษัทฯ มีช่องทางการจำหน่าย 2 รูปแบบ ได้แก่ การขายปลีก ซึ่งมีร้าน DNA ในห้างสรรพสินค้า และไฮเปอร์มาร์เกตต่างๆ ทั่วประเทศรวม 365 สาขา รวมถึงร้านค้าฝากขายในร้านสะดวกซื้อต่างๆ เช่นโลตัส บิ๊กซี จำนวน 1,067 แห่ง และการขายส่ง (Wholesale) ให้แก่เซเว่น อีเลฟเว่น บีทูเอส แมงป่อง นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีธุรกิจสื่อโฆษณา และบันเทิงเป็นการดำเนินธุรกิจภายใต้บริษัท ดีเอ็นเอ เรฟโวลูชั่น จำกัด ที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 99.99% ของทุนชำระแล้วอีกด้วย” นายสามารถกล่าว
ด้านนายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ (Mr. Vorachart Tuaychareon, Managing Director) บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินในการนำบริษัท ดีเอ็นเอ 2002 จำกัด (มหาชน) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ กล่าวว่า บริษัทฯ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 160 ล้านหุ้น คิดเป็น 25% ของทุนจดทะเบียนภายหลังการเสนอขาย
โดย บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 มีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท หรือ 640 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.25 บาท เป็นทุนชำระแล้ว 120 ล้านบาท ซึ่งบริษัทฯ จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของกลุ่มบริษัทฯ และคาดว่าจะสามารถขายหุ้น IPO รวมถึงเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ภายในปลายปีนี้
ดร.ประสิทธิ์ ศรีสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ CGS ในฐานะแกนนำในการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บมจ.ดีเอ็นเอ 2002 กล่าวว่า ธุรกิจของบริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก เนื่องจากบริษัทฯ มีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจที่ชัดเจน นอกจากการขยายช่องทางการจำหน่ายทั้งร้านค้าปลีก และจุดจำหน่ายกว่า 1,432 สาขาทั่วประเทศ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ยังเน้นทำเลที่ตั้งของร้านค้าที่เข้าถึงลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย
“นอกจากนี้ ยังมีเรื่องขนาดพื้นที่ร้านค้าที่เหมาะสม รวมถึงสินค้าที่หลากหลายทั้งแผ่นภาพยนตร์ เพลง และสิ่งพิมพ์ โดยแผ่นภาพยนตร์มีหลายประเภททั้ง VCD DVD Blu-ray การขยาย Product life cycle โดยการผลิตเป็นแผ่นภาพยนตร์ All-in-one หลายเรื่องในแผ่นเดียว และระบบการบริหารจัดการที่ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ในการบริหารการขาย สินค้าคงคลังและบัญชี ทำให้ข้อมูลที่อัปเดตแบบ Real-time สามารถนำมาวิเคราะห์ทางการบริหารได้และในอนาคต บริษัทฯ ยังได้ขยายสาขาไปกับห้างเทสโก้ โลตัส ที่จะมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีกปีละกว่า 10 สาขา” ดร.ประสิทธิ์กล่าว
ทั้งนี้ จากเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2552 บริษัทฯ มีรายได้รวม 750.86 ล้านบาท ก่อนจะเพิ่มขึ้นเป็น 952.13 ล้านบาทในปี 2553 และในปี 2554 รายได้รวมอยู่ที่ 1,112.37 ล้านบาท ขณะที่ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯ มีรายได้รวมกว่า 1,014.93 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของบริษัทฯ